พระสนมผู้ถูกจำคุกเพราะเป็นเชื้อสายมอญ! และเป็นสตรีคนแรกที่กล้าปลดปล่อยทาสในรัชกาลที่ 4

พระสนมเอกผู้ปลดปล่อยทาสแห่งสยามที่ เปลี่ยนคำดูถูกของสายเลือดมอญให้กลายเป็น มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแผ่นดินสวัสดี ครับยินดีต้อนรับเข้าสู่ช่อง Infinity F ครับทุกท่านทราบหรือไม่ว่าใน ประวัติศาสตร์ชาติไทยเราวันที่ 13 นี้ เป็นวันที่ตรงกับเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยว ข้องกับบุคคลที่มีความสำคัญที่สุดใน ประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งนั่นคือเจ้าจอม มาดากลิ่นในรัชกาลที่ 4 ครับบุคคลสำคัญ ท่านนี้คือพระสนมเอกผู้สืบเชื้อสายมาจาก เชื้อสายรามันหรือเชื้อสายมอญที่ สงเกียรติซึ่งตระกูลได้รับราชการสนองพระ เดชพระคุณมาอย่างยาวนานแต่ชีวิตในวังหลวง

ของท่านกลับเต็มไปด้วยดราม่าและความตึง เครียดเพราะท่านกลับตกเป็นที่หวาดระแวง ขององค์พระราชสวามีอยู่ลึกๆในเรื่องความ ภักดีต่อแผ่นดินสยามอันเนื่องมาจากสาย เลือดเดิมครับความระแวงนี้เองที่นำท่านไป สู่จุดวิกฤตที่เกือบจะต้องโทษโคตรประหาร เลยทีเดียวแล้วสตรีผู้ถูกจองจำในวังแห่ง ความหวาดระแวงผู้นี้เอาชนะชะตากรรมของตัว เองได้อย่างไรกันครับเธอใช้สิ่งใดเป็น เครื่องมือในการไต่เต้าจากเชื้อสายที่ถูก ตั้งคำถามสู่การเป็นผู้ปลดปล่อยทาสคนแรกๆ ของสยามสู่การเป็นคนแรกที่แปลนายต่าง ประเทศที่ทรงพลังและเบื้องหลังการใช้ ปัญญาตะวันตกที่เธอเรียนจากแหม่มแอนน่าใน

การสร้างมรดกทางความคิดให้แก่ลูกหลานผู้ กลายเป็นผู้นำปฏิรูปประเทศคืออะไรกันแน่ คลิปนี้เราจะมาเจาะเบื้องลึกเบื้องหลัง วิธีการอัญชาฉลาดของท่านในการเอาชนะความ หวาดระแวงและวิธีเปลี่ยนคำดูถูกให้เป็น วิสัยทัศน์ที่ก้าวไกลของพระสนมเอกผู้มี ปัญญาเฉียบแหลมท่านนี้ครับนี่คือเรื่อง ราวที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญทางความคิด ที่คุณไม่เคยได้ยิงจากที่ไหนมากก่อนอย่าง แน่นอนก่อนที่จะไปรับชมและรับฟังกันฝากกด ไลก์วีดีโอนี้คนละ 1 ไลก์และกดติดตามช่อง Infinity F ไว้เพื่อเป็นกำลังใจกับทีม งานของเราทุกคนด้วยนะครับถ้าพร้อมแล้ว เชิญรับชมและรับฟังกันได้เลยครับในเรื่อง

เล่าเจ้าจอมมาดากลิ่นสตรีผู้คลิกโลก กระทัดสยามตอนที่ 1 ชาติกำเนิดและแรงต้าน ของสายเลือดมอญทุกท่านครับเรื่องราวการ สู้ชีวิตของเจ้าจอมมารดากลิ่นหรืออีกนาม หนึ่งที่ผู้คนเรียกกันว่าซ่อนกลิ่นนั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิก ปีพุทธศักราช 2368 หรือก็คือในช่วงปลายรัชสมัยของพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวครับชีวิต ของท่านไม่ได้ถือกำเนิดมาจากตระกูลสยาม แท้ๆหากแต่สืบเชื้อสายมาจากสายเลือดรามัน หรือชาวมอญที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลซึ่ง ตระกูลของท่านก็คือตระกูลคัชเสนีที่มีราก เหง้าอันแนบแน่นและยาวนานบนแผ่นดินสยาม

ก่อนที่เราจะไปทราบว่าบิดามารดาของท่าน คือใครเราต้องย้อนกลับไปถึงบรรพบุรุษผู้ กล้าหาญของท่านก่อนนะครับนั่นคือเจ้า ภรรยามหาโยธาหรือเจ่งคชเสนีในยุคนั้นท่าน เป็นอดีตเจ้าเมืองไตรินที่ต้องเผชิญกับ ความคับข้องใจจากการกดขี่ของทัพพม่าดัง นั้นจึงตัดสินใจอพยพนำชาวมอญเข้ามาพึ่ง พระบรมโพธิสมภาร ของกษัตริย์สยามตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรีเลยทีเดียวซึ่งการตัดสินใจ ครั้งนั้นได้ผูกพันตระกูลนี้ให้รับราชการ สนองพระเดชพระคุณต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุ คนอย่างไม่เคยขาดครับบิดาของท่านกลิ่นคือ พระยาดำรงราชพลขันธ์หรือจุ้ยคัชเสนีซึ่ง

ท่านก็เป็นขุนนางเชื้อสายมอญที่ได้รับ ความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญอย่าง เจ้าเมืองนครเขื่อนขันซึ่งปัจจุบันก็คือ อำเภอพระประดงนั่นเองครับพื้นที่นี้ถือ เป็นถิ่นฐานสำคัญของชาวมอญที่อบอพยพเข้า มาผายตายการดูแลของตระกูลคัชเสนีดังนั้น สถานะของคุณกลิ่นในเวลานั้นจึงเป็นถึง ธิดาของเจ้าเมืองที่มีเกียรติยศและอำนาจ แต่ทุกท่านครับเกียรตินั้นกลับมาพร้อมกับ ความเปราะบางที่สำคัญที่สุดในสังคมสยาม ยุคนั้นครับเพราะแม้ตระกูลคชเสนีจะแสดง ความภักดีมาอย่างยาวนานแต่ความจริงที่รับ รู้กันในวังหลวงก็คือพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งจะเป็นพระ

ราชสวามีในอนาคตนั้นทรงมีพระราชหฤทัยที่ ทรงระแวงต่อความไม่ซื่อสัตย์ภักดีของญาติ พี่น้องเชื้อสายมอญอยู่ลึกๆนั่นเองทำให้ ชีวิตของเธอถูกจับจ้องตั้งแต่ยังได้ก้าว เท้าเข้าสู่ฝ่ายในเลยครับแล้วเมื่อก้าว เข้าสู่รัชสมัยอันสำคัญของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 การ ถวายตัวของธิดาเจ้าเมืองอย่างคุณกลิ่น เข้าสู่ฝ่ายในจึงเป็นมากกว่าเรื่องส่วน ตัวของสตรีคนหนึ่งแต่เป็นภาระและเดิมพัน ครั้งสำคัญของตระกูลคัชเสนีที่ต้องใช้ลูก สาวคนนี้ในการแสดงออกถึงความจงรักภักดี เพื่อยืนยันสถานะและเพื่อบรรเทาความระแวง ที่สะสมอยู่ในพระราชหฤทัยของพระเจ้าอยู่

หัวด้วยจริวัตอันงดงามและความสามารถของ ท่านท่านจึงได้เข้ารับราชการฝ่ายในและได้ รับสถาปนาเป็นพระสนมเอกในที่สุดครับซึ่ง นี่คือสถานะสูงสุดที่สตรีผู้แบกรับความ ระแวงจากชาติกำเนิดจะสามารถได้เลยทีเดียว ถือเป็นความสำเร็จขั้นแรกที่ตอกย้ำถึง ความสามารถและความงดงามที่ทำให้ท่านอยู่ รอดในวังหลวมได้ครับและถึงแม้ว่าจะมีร่อง รอยของความตึงเครียดที่กล่าวมาทั้งหมดแต่ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในฐานะพระสนมก็เกิด ขึ้นครับเมื่อท่านได้ประสูติพระราชโอรส พระองค์เดียวคือพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ เจ้ากฤษฎาภินิหาร ในวันที่ 7 พฤษภาคมปีพ.ศ. 2398

ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมพระนเรศวรฤทธ์และเป็นต้นราชสกุลกฤต ณอยุธยาอย่างที่เราทราบกันดีทุกท่านครับ โอรัตน์ของท่านเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัวนะครับการมีพระโอรสในรัชกาลถือเป็น หลักประกันที่สำคัญที่สุดในฝ่ายในแต่ สำหรับเจ้าจอมมารดากลิ่นแล้วพระโอรสองค์ นี้มีความหมายมากกว่านั้นครับท่านคือความ หวังและเป้าหมายหลักที่ท่านจะต้องถ่ายทอด ทุกสิ่งที่มีเพื่อจะช่วยให้พระโอรสองค์ นี้สามารถก้าวข้ามกำแพงแห่งเชื้อสายมอญ ที่เคยถูกจับจ้องของมารดาไปอย่างสง่างาม ในอนาคตครับตอนที่ 2 วิกฤตในวังหลวงและ

การลงทันทุกท่านครับแม้ว่าเจ้าจอมมารดา กลิ่นจะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติเป็น ถึงพระสนมเอกและมีพระโอรสคือกรมพระ นเรศวรฤทธิ์เป็นหลักประกันในราชสำนักแล้ว ก็ตามแต่ความจริงอันเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ เบื้องหลังความหรูหราของวังหลวงก็คือท่าน ไม่ใคร่จะเป็นที่โปรดปรานนักจากพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเลยนะครับ สาเหตุสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวท่านเพียง อย่างเดียวแต่มันมาจากความระแวงที่อย่าง ลึกในพระราชหฤทัยขององค์พระราชสวามีที่ ทรงกังวลต่อญาติพี่น้องของท่านซึ่งเป็น เชื้อสายมอญว่าอาจจะไม่ซื่อสัตย์ภักดีต่อ แผ่นดินสยามอย่างแท้จริงความตึงเครียดนี้

ทำให้สถานะของเจ้าจอมมารดากลิ่นในฐานะพระ สนมเอกนั้นจึงเปรียบเสมือนยืนอยู่บนผืน น้ำแข็งที่มั่นคงด้วยตำแหน่งแต่เพราะบาง ด้วยความเชื่อใจขององค์พระมหากษัตริย์ ตลอดเวลาและแล้วในที่สุดความตึงเครียดที่ สะสมมานานก็ปะทุขึ้นเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ใน ชีวิตของท่านครับเมื่อเจ้าเมืองนครเขื่อน ขันคนก่อนถึงแก่กรรมเจ้าจอมมารดากลิ่น ซึ่งมีความผูกพันกับตระกูลและชุมชนมอญใน พื้นที่นี้อย่างลึกซึ้งจึงต้องการให้ ตำแหน่งสำคัญนี้ยังคงอยู่ในสายตระกูลของ ตนเพื่อรักษาฐานอำนาจและเกียรติยศของชาว มอญไว้ด้วยความกล้าที่เต็มไปด้วยความ ภักดีต่อวงญาติท่านจึงตัดสินใจทำสิ่งที่

ถือเป็นการก้าวล่วงธรรมเนียมปฏิบัติและ บ่อนทำลายพระราชอำนาจอย่างร้ายแรง โดยท่านไม่ได้ทูลขอเองโดยตรงแต่ได้ขอให้ พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร ซึ่งเป็นพระโอรสของท่านถวายฎีกาต่อพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยมีเนื้อ หาสำคัญคือการขอให้ทรงแต่งตั้งพี่ชายของ เจ้าจอมมารดากลิ่นให้เป็นเจ้าเมืองนคร เขื่อนขันคนต่อไปครับแต่ว่าปัญหาใหญ่ที่ ทำให้การกระทำนี้กลายเป็นการก้าวพลาด ครั้งสำคัญก็คือการทูลขอครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระ ราชวินิจฉัยและแต่งตั้งบุคคลอื่นไปแล้ว ก่อนหน้าครับการกระทำของเจ้าจอมมารดา

กลิ่นจึงถูกตีความว่าเป็นการไม่ยอมรับใน พระราชอำนาจและเป็นการแสดงออกถึงความผูก พันกับตระกูลมอญจนเกินขอบเขตที่สตรีฝ่าย ในพิ่งกระทำเลยทีเดียวผลลัพธ์ที่ออกมาจึง เด็ดขาดและรุนแรงมากครับเจ้าจอมมารดา กลิ่นถูกระวังโทษด้วยข้อหาบ่อนทำลายพระ ราชอำนาจและได้รับโทษสถานหนักคือการจำขัง ซึ่งถือเป็นจุดต่ำสุดในชีวิตของพระสนมเอก ผู้ถูกจับตามองเป็นบทลงโทษที่ตอกย้ำอย่าง เจ็บปวดว่าแม้จะอยู่ในสถานะสูงสุดแล้วก็ ตามแต่สายเลือดรามันก็ยังคงถูกตั้งคำถาม เสมอแต่ท่ามกลางความมืดมิดของการถูกจำขัง ก็ปรากฏแสงสว่างจากภายนอกครับบทบาทของ แอน่าleโอovensครูผู้สอนภาษาอังกฤษชาว

ต่างชาติได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการคลี่ คลายวิกฤตครั้งนี้เมื่อแอนน่าทราบเรื่อง ราวของศิษย์ที่ตนรักและชื่นชมในความขยัน เธอจึงตัดสินใจเดินหน้าช่วยเหลือโดยไปขอ ร้องสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ หรือช่วงบุญนาคให้ช่วยกราบทูลขอพระราชทาน อภัยโทษแก่เจ้าจอมมารดากลิ่นและในที่สุด ความพยายามก็ประสบผลสำเร็จครับหลังจากที่ แอนน่าออกจากสยามไปแล้วมีหลักฐานยืนยัน ถึงการให้อภัยโทษนี้อยู่ในจดหมายพระ ราชหัถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงส่งถึงนางลีโอโนเวสใน จดหมายนั้นมีข้อความที่ชัดเจนว่าฉันขอ แจ้งให้เธอทราบว่าฉันได้ให้อภัยโทษแก่คุณ

กลิ่นนักเรียนของเธอตามคำขอร้องของสมเด็จ เจ้าพระยาแล้วทุกท่านครับเหตุการณ์นี้จึง ไม่เพียงแต่ช่วยให้เจ้าจอมมารดากลิ่นพ้น โทษเท่านั้นครับแต่ยังเป็นการเปิดฉากใหม่ ให้กับชีวิตของท่านท่านได้ตระหนักแล้วว่า ความรู้ที่ได้รับจากแอนน่าต่างหากคือ เครื่องมืออันทรงพลังที่จะใช้ในการสู้ ชีวิตและสร้างความก้าวหน้าอย่างแท้จริง แทนที่จะใช้อำนาจหรือเส้นสายแบบเดิมที่นำ ท่านไปสู่ความพินาศครับตอนที่ 3 แสงสว่าง จากโลกตะวันตกการพบกับแหม่มแอนนาทุกท่าน ครับภายหลังจากที่เจ้าจอมมาดากลิ่นรอดพ้น จากวิกฤตการถูกจำขังและได้รับการอภัยโทษ จากการขอร้องของครูแอนนาลีโอเวสแล้วท่าน

ก็ตระหนักในความจริงอันเจ็บปวดครับว่า อำนาจและเชื้อสายที่ท่านเคยพึ่งพามาตั้ง แต่ต้นนั้นมิอาจเป็นหลักประกันที่แท้จริง และยั่งยืนในราชสำนักได้อีกต่อไปครับท่าน จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะ ค้นหาเครื่องมือใหม่ในการสร้างความก้าว หน้าและปกป้องอนาคตของพระโอรสซึ่งเครื่อง มืออันทรงพลังที่ว่านั้นก็คือความรู้จาก โลกตะวันตกที่นำมาโดยแหม่มแอนนาโอเวน ดังนั้นการตัดสินใจกลับเข้าสู่ห้องเรียน ภาษาอังกฤษของแหม่มแอนนาอีกครั้งจึงไม่ ใช่แค่การกลับไปเรียนตามปกติแต่เป็นการ ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดครั้ง หนึ่งในชีวิตของท่านเลยครับท่านเปลี่ยน

วิกฤตให้เป็นโอกาสในการติดอาวุธทางปัญญา ให้กับตนเองหลายท่านอาจจะได้ยินเรื่องของ แหม่มแอนนาีเวนมาบ้างแล้วนะครับเป็นต่าง ชาติที่ถูกจ้างเข้ามาสอนภาษาอังกฤษและ วิทยาการสมัยใหม่ให้แก่พระราชโอรสพระ ราชธิดาและสตรีในราชสำนักในเวลานั้นเจ้า จอมาดากลิ่นได้ฉายแววและแสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างอย่างชัดเจนจนกลายเป็นศิษย์ เอกเราจะเห็นได้ว่าในขณะที่สตรีอื่นๆใน วังหลวงอาจมองการเรียนเป็นเพียงเรื่องของ แฟชั่นหรือเป็นครั้งคราวเท่านั้นแต่เจ้า จอมมาดากลิ่นกลับเข้าเรียนด้วยความมุ่ง มั่นและวินัยอันเคร่งครัดอย่างสม่ำเสมอจน กระทั่งนางแอนนาต้องบันทึกไว้ถึง

คุณสมบัติข้อนี้ของท่านอย่างชื่นชมว่า เจ้าจอมมาดาซ่อนกลิ่นเป็นศิษย์ที่มีความ ขยันหมั่นเพียรและมาเรียนเสมอมิได้ขาดผิด กับผู้หญิงอื่นๆที่เรียนบ้างหยุดบ้างคำ กล่าวนี้เป็นหลักฐานที่เน้นย้ำถึงความ มานะอุตสาหะและความกระหายใคร่ให้รู้อย่าง แรงกล้าของท่านครับท่านไม่ได้เรียนรู้ เพื่อความสนุกหรือความเพลิดเพลินแต่เรียน เพื่อความอยู่รอดเพื่อความมั่นคงและเพื่อ ความก้าวหน้าของตนเองและพระโอรสซึ่งเป็น แรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังจนทำให้ท่านเหนือ กว่าสตรีชนชั้นสูงคนอื่นๆในยุคนั้นอย่าง สิ้นเชิงการเรียนภาษาอังกฤษที่แอนนาสอน จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การเรียนรู้ไวยากรณ์

หรือคำศัพท์ง่ายๆเท่านั้นครับแต่มันคือ การเปิดประตูบานใหญ่ให้เจ้าจอมมาดากลิ่น ได้เข้าถึงองค์ความรู้และปรัชญาความคิด ของโลกตะวันตกโดยตรงท่านได้ทำความเข้าใจ เรื่องราววัฒนธรรมและอุดมการณ์ที่แตกต่าง จากโลกภายในราชสำนักสยามอย่างสิ้นเชิงการ เรียนรู้นี่เองที่ทำให้แอนนาเริ่มชื่นชม และให้เกียรติในตัวท่านมากยิ่งขึ้นโดยมอง ว่าเจ้าจอมมาดากลิ่นเป็นผู้มีจินตนาการ กว้างไกลและมีความคิดก้าวหน้าล้ำยุคล้ำ สมัยซึ่งคุณสมบัติอันโดดเด่นเหล่านี้ไม่ ได้หายไปไหนนะครับแต่ได้ถูกนำไปใช้เป็น รากฐานสำคัญของการกระทำอันกล้าหาญและพลิก โฉมหน้าประวัติศาสตร์สังคมในตอนต่อไปนั่น

เองครับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าจอมมาดา กลิ่นกับแอนนาจึงเป็นความสัมพันธ์ที่ลึก ซึ้งกว่าครูกับศิษย์ทั่วไปครับเป็นการ เชื่อมโยงของสตรี 2 คนจาก 2 โลกที่ต่าง ฝ่ายต่างเห็นคุณค่าของปัญญาและความกล้า หาญในกันและกันอีกทั้งการช่วยเหลือใน วิกฤตครั้งก่อนหน้าก็ได้สร้างความผูกพัน ทางใจที่แข็งแกร่งทำให้ท่านสามารถเชื่อ มั่นและซึมซับสิ่งที่แอนนาสอนได้อย่าง เต็มที่โดยปราศจากอคติใดๆนี่คือช่วงเวลา ที่แสดงให้เห็นถึงความฉลาดทางปัญญาที่แท้ จริงของเจ้าจอมมาดากลิ่นซึ่งเป็นรากฐาน สำคัญที่ทำให้ท่านสามารถสร้างความสำเร็จ ที่ยั่งยืนให้แก่ตนเองและแผ่นดินได้ในที่

สุดครับตอนที่ 4 การปฏิวัติทางความคิด ด้วยวรรณกรรมทุกท่านครับหลังจากที่เจ้า จอมมาดากลิ่นได้พิสูจน์ตนเองว่าเป็น สิทธิ์ที่ขยันหมั่นเพียรที่สุดของแหม่ม แอนนาจนสามารถแตกฉานในภาษาอังกฤษได้อย่าง ยอดเยี่ยมแล้วประตูบานสำคัญก็ได้ถูกเปิด ออกสู่โลกทัศอันกว้างใหญ่ให้ท่านได้สำรวจ อย่างที่ไม่เคยมีสตรีใดในวังหลวงเคยทำได้ มากก่อนสิ่งที่ท่านค้นพบไม่ใช่แค่ตำรา เรียนทั่วไปนะครับแต่คือนวนิยายที่ทรง พลังและพลิกโลกเล่ม 1 ที่เข้ามาเปลี่ยน ชีวิตท่านไปตลอดกาลนวนิยายเล่มนั้นก็ชื่อ ว่า Uncle Tom’s Cabin หรือในภาษาคือ กระท่อมน้อยของลุงทอมที่ประพันธ์โดย Miss

Harriet Beacher Store ซึ่งเป็นผลงาน ที่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนทางสังคมและ จริยธรรมไปทั่วโลกโดยเฉพาะประเด็นเรื่อง การค้าทาสและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ครับ เนื้อหาอันเข้มข้นในหนังสือเล่มนี้ได้ซึม ลึกและเข้าถึงจิตใจของเจ้าจอมมาดากลิ่น อย่างที่สุดจนท่านเริ่มมีความคิดก้าวไกล และจินตนาการล้ำยุคในแบบที่สตรีสยามในวัง หลวงยุคนั้นไม่มีใครเทียบได้เลยท่านมอง เห็นถึงความไม่เป็นธรรมและคุณค่าของชีวิต มนุษย์ที่ควรจะมีเสรีภาพอย่างเท่าเทียม ความประทับใจนั้นลึกซึ้งถึงขั้นที่ท่าน ได้นำเอาความรู้ความสามารถทางภาษาที่พิ่ง ได้มาอย่างยอดเยี่ยมนั้นมาทำสิ่งที่ถือ

เป็นภารกิจทางปัญญาที่กล้าหาญนั่นคือการ แปลนนิยายต่างประเทศเป็นภาษาไทยท่านได้ ถ่ายทอดแก่นของเรื่องราวความทุกข์ยากของ ทาสออกมาได้อย่างแตกฉานและสละสลวยจนได้ รับการยกย่องและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ว่าเป็นคนไทยคนแรกที่คิดแปลนวนิยายภาษา ต่างประเทศเป็นภาษาไทยได้สำเร็จเลยที เดียวครับนี่คือการบุกเบิกวงการวรรณกรรม และการแปลของสยามอย่างแท้จริงครับการแปล ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางภาษาเท่า นั้นนะครับแต่มันการปฏิวัติทางความคิดที่ เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านท่านไม่ได้อ่าน เพื่อความเพลิดเพลินแต่ได้ซึมซับเอา อุดมการณ์แห่งเสรีภาพเข้ามาไว้ในชีวิต

จริงอย่างลึกซึ้งแหม่มแอนนาเองก็เคยกล่าว ถึงท่านว่าเวลาที่ท่านพูดถึงตัวละครในลุง ทอมท่านจะเอ่ยราวกับว่าตัวละครเหล่านั้น เป็นเพื่อนสนิทที่ท่านคุ้นเคยมานานปีนั่น แสดงให้เห็นว่าความเชื่อในคุณค่าของความ เป็นมนุษย์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ ท่านอย่างสมบูรณ์แล้วครับและด้วยแรง บันดาลใจอันบริสุทธิ์จากวรรณกรรมเล่มนี้ เองครับที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่สร้าง ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่ใน ตอนต่อไปท่านไม่ได้หยุดอยู่แค่การคิดแต่ กำลังจะลงมือทำจริงตามอุดมคตินิยมของ นวนิยายด้วยการปลดปล่อยท่าที่ท่านครอบ ครองทั้งหมดอย่างหาญกล้าซึ่งจะสร้างความ

สะเทือนเลื่อนลั่นให้กับสังคมสยามในยุค นั้นอย่างแน่นอนครับตอนที่ 5 การปลดปล่อย ทาสการลงมือทำก่อนกฎหมายจะมาถึงทุกท่าน ครับหลังจากที่เมล็ดพันธุ์แห่งอุดมการณ์ เสรีภาพได้ถูกปลูกฝังอย่างลึกซึ้งในจิตใจ ของเจ้าจอมมารดากลิ่นจากการอ่านและแปลแปล วรรณกรรมชิ้นเอกแล้วท่านก็ตระหนักในทันที ว่าความคิดที่ยิ่งใหญ่ต้องไม่หยุดอยู่แค่ ในตำราท่านจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ที่ล้ำยุคนั้นให้กลายเป็นการกระทำจริง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่สร้างแรงกระเพื่อม อย่างใหญ่หลวงในสังคมสยามยุคนั้นเลยครับ เหตุการณ์อันน่าจดจำนี้เกิดขึ้นราวปี พุทธศักราช 2410

ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แหม่มแอนนา ลีโอเว่นกำลังจะเดินทางออกจากสยามการ กระทำของท่านจึงเปรียบเสมือนการประกาศ เจตนารมณ์สูงสุดที่ท่านได้เรียนรู้และซึม ซับมาตลอดช่วงเวลาที่เป็นสิทธิ์ท่านรวบ รวมความกล้าหาญทั้งหมดและในงานเลี้ยงอำลา ท่านได้ยืนหยัดขึ้นและกล่าวต่อหน้าทุกคน ด้วยน้ำเสียงที่กังวานและเด็ดเดี่ยวอย่าง น่าประทับใจว่าฉันอยากเป็นคนดีเหมือน Har beacher store ฉันจะไม่ซื้อขายทาสอีก ต่อไปแต่จะปล่อยให้เขาเป็นอิสระตลอดไป ฉะนั้นนับแต่บัดนี้เป็นต้นไปฉันไม่มีทาส อีกแล้วนี่คือสัญญาปลดปล่อยทาสที่ฉันจะ ให้ทุกคนไปทุกคนเป็นอิสระแล้วคำประกาศดัง

กล่าวไม่ใช่แค่คำพูดที่กล่าวจบไปเท่านั้น นะครับแต่เป็นการปลดปล่อยทาสในครอบครอง ทั้งหมดของท่านให้เป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง ทันทีท่านมอบสัญญาปลดปล่อยทาสที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรให้แก่พวกเขาอย่างเป็นทางการ การกระทำนี้เป็นการแหวกม่านประเพณีอย่าง ชัดเจนและกล้าหาญอย่างยิ่งเพราะท่านลงมือ ทำในขณะที่ประเทศสยามยังคงมีการซื้อขาย ทาสเป็นเรื่องปกติและอย่างไม่มีการออกกฎ หมายว่าด้วยการเลิกทาสอย่างเป็นทางการเลย แม้แต่น้อยซึ่งกฎหมายจะเริ่มทยอยออกมาใน ช่วงรัชกาลที่ 5 ในอีกหลายปีต่อมาทำให้ เจ้าจอมมารดากลิ่นได้รับการจารึกไว้ใน ฐานะสตรีผู้ริเริ่มการเลิกทาสด้วยสำนึก

ทางจริยธรรมเป็นคนแรกๆในสยามครับความล้ำ หน้าของท่านไม่ได้หยุดอยู่แค่การมอบ อิสรภาพเท่านั้นนะครับแต่ท่านยังได้ยก ระดับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ให้แก่ ผู้ที่เคยเป็นทาสเหล่านั้นด้วยสำหรับผู้ ที่รักใคร่และยังคงสมัครใจอยู่รับใช้ท่าน ต่อไปท่านได้เปลี่ยนสถานะพวกเขาจากทาสให้ เป็นคนรับใช้ที่มีเกียรติและให้ค่าตอบแทน ที่เป็นรูปทำโดยท่านจ่ายเงินเดือนให้คนละ 4 บาทต่อเดือนพร้อมทั้งเมตตาจัดหาเสื้อ ผ้าและอาหารให้ด้วยการให้ค่าจ้างนี้มี ความหมายลึกซึ้งมากครับเพราะมันเป็นการ ประกาศว่าท่านมองแรงงานเหล่านี้เป็น มนุษย์ที่มีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนอย่าง

เท่าเทียมตามหลักสากลซึ่งเป็นแนวคิดที่ ก้าวหน้าอย่างยิ่งและไม่เคยมีใครนำมา ปฏิบัติในวงสังคมชั้นสูงมากก่อนเลยครับ ฉากนี้จึงถือเป็นจุดสูงสุดทางจริยธรรมและ เป็นการประกาศชัยชนะทางความคิดของเจ้าจอม มารดากลิ่นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดครับท่าน ใช้ชีวิตที่เริ่มต้นจากความระแวงในชาติ กำเนิดมาจบลงด้วยการสร้างมรดกแห่งความ กล้าหาญที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจของปัญญา สามารถอยู่เหนืออำนาจของขนบธรรมเนียมได้ อย่างแท้จริงครับตอนที่ 6 มรดกทางความคิด อิทธิพลต่อกรมพระนเรศวรฤทธ์ทุกท่านครับ หลังจากที่เจ้าจอมมาดากลิ่นก้าวผ่านวิกฤต ความขัดแย้งในวังหลวงและค้นพบว่าพลังของ

การศึกษาโลกตะวันตกคืออาวุธที่แท้จริง ท่านก็ไม่รอช้าครับท่านได้ทุ่มเทความรู้ และความมุ่งมั่นทั้งหมดที่มีเพื่ออบรม สั่งสอนพระโอรสองค์เดียวคือพระเจ้าลูกยา เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร ซึ่งต่อมาคือกรมพระนเรศวรฤทธิ์ นี่คือการศึกษาที่ถูกออกแบบโดยมารดาผู้มี วิสัยทัศน์อย่างแท้จริงท่านปลูกฝังความสน ใจในวิชาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษา อังกฤษและความคิดก้าวหน้าแบบใหม่ที่ท่าน ได้สืมทรัพย์มาจากแหม่มแอนนาผลลัพธ์ที่ ปรากฏออกมานั้นน่าทึ่งมากครับเพราะพระ โอรสทรงแสดงความปรีชาสามารถในการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษอย่างโดดเด่นมากกว่าพระ

ราชกุมารในรุ่นเดียวกันทั้งหมดซึ่งสิ่ง นี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่นี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลยหาก ปราศจากแรงผลักดันและวิสัยทัศน์ที่ล้ำ หน้าของมารดาผู้มองการไกลเมื่อเวลาผ่านไป พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหารทรงเจริญพระชันษา ขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือรัชกาลที่ 5 นั้นความรู้ความสามารถและวิสัยทัศน์ที่ ได้รับจากมารดาก็ได้ปรากฏชัดเจนต่อ สาธารณะโดยทรงได้รับความไว้วางพระ ราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งสำคัญมากมายครับ ท่านไม่เพียงแต่เป็นผู้นำด้านการบริหาร โดยทรงดำรงตำแหน่งสำคัญเช่นผู้บัญชาการ

Audit Office ซึ่งเทียบเท่ากับการตรวจ สอบแผ่นดินและเป็นหน่วยงานสำคัญในการ ปฏิรูประบบการคลังและการบริหารประเทศให้ ทันสมัยเท่านั้นนะครับแต่ยังทรงเป็นผู้ ที่ความเข้าใจในสถาปัตยกรรมตะวันตกจนมี ส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างพระที่นั่ง อุทยานภูมิสถียรณพระราชวังบางปะอินด้วย นอกจากนี้แล้วยังทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ที่โดดเด่นในเวทีโลกโดยได้รับตำแหน่งเป็น อัครราชทูตสยามประจำกรุงลอนดอนและสหรัฐ อเมริกาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้ความ สามารถด้านภาษาการทูตและการทำความเข้าใจ โลกสมัยใหม่อย่างสูงมากครับแต่ความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่และสะท้อนถึงอิทธิพลทางความ

คิดของเจ้าจอหมารดากลิ่นมากที่สุดก็คือ การที่กรมพระนเรศวรฤทธ์ทรงเป็นผู้นำเจ้า นายและข้าราชการหนุ่มในการร่วมกันกราบ บังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวปรับปรุงแก้ไขระบบการปกครอง ประเทศให้ทันสมัยเมื่อราวปีพ.ศ. 2427 นี่คือความคิดที่ก้าวหน้าที่สุดของคน หนุ่มในสมัยนั้นและเป็นการบ่งบอกอย่างชัด เจนว่าพระโอรสได้สืมทรัพย์จิตวิญญาณแห่ง การปฏิรูปและความกล้าหาญที่จะเสนอการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอดของ ชาติมาจากมารดาผู้ซึ่งเคยกระทำการปลด ปล่อยทาสและแปลนวนิยายล้ำยุคมาก่อนอย่าง แท้จริงครับการที่พระโอรสทรงสามารถสร้าง

ความสำเร็จและเกียรติยศรถที่มั่นคงให้แก่ พระองค์เองได้ตลอดมาทำให้ความระแวงที่เคย มีต่อสายเลือดมอญของเจ้าจอมมารดากลิ่นใน ราชสำนักค่อยๆสลายไปนี่คือความสำเร็จที่ ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านได้รับในฐานะมารดา ผู้ที่สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของบุตรชาย ให้กลายเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ประเทศได้ด้วยอำนาจแห่งปัญญาครับตอนที่ 7 ความภักดีที่สืบทอดสายสกุลกฤ ทุกท่านครับคุณสมบัติที่โดดเด่นและเป็น แก่นแท้ที่สุดของเจ้าจอมมารดากลิ่นนั้น คือความคิดอ่านที่ก้าวหน้าล้ำยุคซึ่งหล่อ ล้อมรวมเข้ากับสำนึกของความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์และผืนแผ่นดินไทย

อย่างไม่เสื่อมคลายมรดกทางความคิดอันทรง คุณค่านี้ไม่ได้สูญหายไปไหนนะครับหากแต่ ได้สืบทอดอย่างชัดเจนมาสู่พระนัดาหรือ หลานชาย 2 พระองค์ในพระเจ้าบรมวงเธอกรม พระนเรศวรฤทธิ์อย่างน่าภาคภูมิใจเรามาดู ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในสถานการเมือง ที่ผันผวนกันบ้างครับพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชซึ่งเป็นพระนัดาในเจ้า จอมมารดากลิ่นได้รับราชการจนกระทั่งดำรง ตำแหน่งเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชเมื่อเกิดการเปลี่ยน แปลงการปกครองครั้งสำคัญในปีพ.ศ.พ.ศ. 2475 พระองค์เจ้าบวรเดชทรงตัดสินพระทัยอย่าง กล้าหาญที่จะยืนหยัดต่อสู้กับคณะผู้

เปลี่ยนแปลงการปกครองในเหตุการณ์ที่เรียก ว่ากบฏบวรเดชแม้ว่าการปฏิบัติการครั้ง นั้นจะทรงไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ ไว้แต่การกระทำนี้เป็นการแสดงออกถึงน้ำ พระทัยอันกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและความ ปรารถนาที่ยึดอำนาจถวายคืนแด่พระ มหากษัตริย์อย่างบริสุทธิ์ใจซึ่งสะท้อน ถึงความซื่อสัตย์ภักดีที่สืบทอดมาจากรุ่น สู่รุ่นอย่างไม่เสื่อมคลายในขณะที่พระ องค์เจ้าบวรเดชทรงต่อสู้ในสนามการเมือง อีกหนึ่งพระนัดาคือหม่อมเจ้าสิทธิพรกฤ กลับนำเอาความคิดก้าวหน้าอันเป็นมรดกของ ย่าท่านมาใช้ในภาคการเกษตรแผนใหม่ครับ ท่านไม่เพียงแต่มีพระดำริเท่านั้นแต่ยัง

ส่งทุ่มเททั้งกำลังทรัพย์และกำลังแรงด้วย พระองค์เองลงมือทดลองทำเกษตรสมัยใหม่ อย่างจริงจังการทดลองและเผยแพร่ความรู้ ของหม่อมเจ้าสิทธิพรได้สร้างแบบอย่างที่ ดีและนำมาสู่การยอมรับในระดับนานาชาติ อย่างกว้างขวางจนทำให้พระองค์ทรงได้รับ รางวัลอันทรงเกียรติคือรางวัลแม็กไซไซ สาขาบริการสาธารณะในปีพ.ศ. 2510 และมูลนิธิแม็กไซไซเนงก็ได้สะดุดีพระ เกียรติคุณของพระองค์ว่าพระบิดาแห่งการ เกษตรแผนใหม่ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามรดกทาง ความคิดก้าวหน้าของเจ้าจอมมารดากลิ่นได้ กลายเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในทุกมิติ และมรดกของเจ้าจอมมารดากลิ่นยังคงสืบทอด

ต่อไปอย่างต่อเนื่องถึงรุ่นหลานอย่างท่าน ผู้หญิงบุตตรรีวีระวัทยะ เป็นธิดาในหม่อมเจ้าชิชนกกิดากรซึ่งเป็น ผู้ที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณอย่าง ใกล้ชิดในตำแหน่งรองอธิบดีกรม ราชเลขานุการในพระองค์สำนักพระราชวังใน ปัจจุบันนี่คือข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ครับ ว่าสายสกุลกฤที่มีเจ้าจอมมารดากลิ่นเป็น ต้นสายได้ส่งต่อคุณสมบัติแห่งความกล้าหาญ วิสัยทัศน์ที่ก้าวหน้าและความจงรักภักดี มาอย่างต่อเนื่องทำให้ตระกูลนี้ยังคงเป็น ที่ภาคภูมิใจและเป็นกำลังสำคัญของชาติไทย ตลอดมาครับตอนที่ 8 เมตตาธรรมและศรัทธา บำเพ็ญทุกท่านครับแม้ว่าชีวิตส่วนใหญ่ของ

เจ้าจอมมารดากลิ่นจะอยู่ในวังหลวงที่เต็ม ไปด้วยความซับซ้อนทางการเมืองและแรงกดดัน ทางเชื้อสายแต่ท่านก็ยังคงเป็น พุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดและมีจิตศรัทธา อันมั่นคงในพระบวรพุทธศาสนาอย่างยิ่งหยด ครับท่านได้สละทรัพย์ส่วนตัวในการสร้าง และอุปถัมภอารามหลายแห่งเพื่อสืบทอดพระ ศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านได้สร้างพระ อารามแห่งหนึ่งขึ้นมาคือวัดสุทธาโพชที่ ตำบลทัพยาวอำเภอลาดกระบังกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือว่ามีความหมายลึกซึ้งมากครับเพราะ พื้นที่นี้เป็นถิ่นที่มีชาวรามันหรือมอญ ตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากการสร้าง วัดแห่งนี้จึงเป็นทั้งการทำนุบำรุงศาสนา

ไปพร้อมๆกับการแสดงความผูกพันอันแน่นแฟ้น และเป็นศูนย์รวมจิตใจให้กับชุมชนชาวมอญ ซึ่งเป็นสายเลือดเดิมของท่านนอกจากนี้ ท่านยังได้อุปถัมภ์วัดสำคัญอื่นๆอีกมาก มายนะครับไม่ว่าจะเป็นวัชนสงครามราชวอ ราชวรมหาวิหาร ในกรุงเทพฯหรือวัดคงคารามจังหวัดราชบุรี โดยมีการสร้างหอรับพระและหอสวดมนต์และ ท่านยังร่วมสร้างและบูรณวัดอื่นๆเช่นวัด เกาะและวัดดอนกระเบื้องจังหวัดราชบุรี ซึ่งในสมัยนั้นท่านถึงกับต้องนั่งเกวียน จากวัดคงคารามเพื่อมาประทับดูการก่อสร้าง วัดดอนกระเบื้องด้วยตนเองเลยทีเดียวนี่ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญ

ทานบารมีอย่างไม่ย่อถ้อครับและเมื่อใดก็ ตามที่ท่านแปรสถานมาพักยังตำหนักที่สร้าง ไว้ใกล้วัดสุทธาโพชจริยวัตของท่านได้ สร้างความรักและความผูกพันกับชุมชนชาว รามันในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้งครับมีคำบอก เล่าถึงความนิยมชมชอบของชุมชนต่อท่าน อย่างชัดเจนว่าการเดินทางของท่านนั้นยิ่ง ใหญ่และน่าตื่นตาใจโดยต้องเดินทางด้วย เรือมาดลำใหญ่ขนาด 6 แจวที่ปลุแผ่นทอง เหลืองตลอดทั้งลำเพื่อใช้เป็นพาหนะในการ แปรสถานเมื่อไปถึงสถานีรถไฟหัวตะเข้ผู้คน จำนวนมากจะไปรอรับอย่างสนุกสนานซึ่งท่าน ก็ตอบแทนความรักนั้นด้วยความเมตตาโดยจะ จัดอาหารเลี้ยงอยู่และมอบผ้าเขาม้าให้คน

ละผืน 2 ผืนเป็นรางวัลน้ำใจแก่ทุกคนที่มา รอต้อนรับแสดงถึงความเมตตาที่ไม่มีการ แบ่งแยกชนชั้นทำให้ท่านเป็นที่เคารพรัก อย่างยิ่งของชาวรามันในละแวกนั้นครับที่ น่าประทับใจที่สุดคือความเมตตาของท่านไม่ ได้จำกัดอยู่แค่ในชุมชนมอญเท่านั้นครับ แต่ยังได้ขยายไปถึงบุคคลต่างสายสกุลอย่าง น่าซาบซึ้งใจดังที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมพระยาดำรราชานุภาพทรงบันทึกไว้ด้วย พระองค์เองครับในปีพ.ศ. 2466 ซึ่งเป็นช่วงบ้านปลายชีวิตของท่านแล้ว เมื่อมารดาของกรมพระยาดำรงราชานุภาพสิ้น พระชนเจ้าจอมมารดากลิ่นได้มาเยี่ยมศพและ เมื่อเห็นความเรร่าโศกของพระองค์ทานก็

เอ่ยปากด้วยความกรุณาอย่างที่สุดว่าเสด็จ ต้องเป็นกำพร้าฉันจะรับเป็นแม่แทนแม่ชุ่ม จะโปรดหรือไม่การแสดงความกรุณาครั้งนี้ทำ ให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพซาบซึ้งใจอย่าง ยิ่งและกราบเรียนรับทันทีครับจากวันนั้น เจ้าจอมมารดากลิ่นก็แสดงความเมตตาและ อุปการะพระองค์เหมือนเช่นเป็นบุตรของท่าน ส่วนกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ปฏิบัติบูชา ท่านเหมือนเป็นมารดาการกระทำนี้สะท้อนถึง จิตใจที่โอบอ้อมอารีอย่างแท้จริงที่อยู่ เหนือชนชั้นและเชื้อสายซึ่งเป็นการสรุป ความสำเร็จในฐานะมนุษย์ผู้มีศีลธรรมอันงด งามของท่านได้อย่างสมบูรณ์แบบครับตอนที่ 9 เกียรติยศนิรันดร์และการจารึกในความทรงจำ

ทุกท่านครับเจ้าจอมมาดากลิ่นใช้ชีวิตใน บ้านปลายด้วยความสงบและยังคงบำเพ็ญบุญ กุศลอย่างต่อเนื่องท่านได้เห็นถึงความ สำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพระโอรสและได้เห็น ความก้าวหน้าของประเทศที่ท่านเคยร่วมจุด ประกายความคิดไว้เมื่อครั้งยังเป็นสตรี ผู้กล้าหาญในวังหลวงท่านมีอายุยืนยาว อย่างยิ่งโดยท่านได้เห็นการเปลี่ยนผ่าน ของแผ่นดินถึง 5 แผ่นดินเลยทีเดียวท่าน ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกเกล้าเจ้า อยู่หัวรัชกาลที่ 6 สิริรวมอายุได้ 91 ปี ซึ่งไม่ว่าจะนับ 91 ปีหรือ 96 ปีตามแหล่ง ข้อมูลที่แตกต่างกันก็ถือว่าเป็นอายุที่ ยืนยาวอย่างยิ่งครับพิธีศพของท่านจัดขึ้น

อย่างสมเกียรติโดยได้รับพระราชทานเพลิงศพ ณรุวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมพ.ศ. 2469 ซึ่งการแสดงถึงเกียรติยศที่ท่านได้สร้าง ไว้ให้แก่ตนเองและวงตระกูลอย่างภาคภูมิ และสมบูรณ์ที่สุดครับแม้ว่าท่านจะจากไป แล้วแต่ความเมตตาและคุณูปการของท่านโดย เฉพาะการสร้างและอุปถัมภวัดสุทธาโพชและ ความผูกพันต่อชาวรามันในพื้นที่ก็ยังคง อยู่ในความทรงจำของผู้คนอย่างไม่เสื่อม คลายนี่คือสิ่งที่พิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ ของท่านเหนือตำแหน่งใดครับเพื่อเป็นการ รำลึกถึงพระคุณของท่านอย่างสุดซึ้งชาว บ้านในชุมชนวัดสุทธาโพชได้สืบทอด

ธรรมเนียมปฏิบัติอันน่าประทับใจคือทุก ครั้งที่มีการทอดกฐินณพระอารามแห่งนี้ชาว บ้านจะร่วมกันนำเสลี่ยงอัญเชิญรูปจำลอง ของเจ้าจอมมาดากลิ่นไปตั้งประดิษฐบนแท่น บูชาเพื่อระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้ เป็นผู้ก่อตั้งและอุปถัมภ์วัดแห่งนี้ตลอด มาการกระทำที่สืบทอดกันมานี้เป็น สัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครับที่แสดง ให้เห็นว่าการปลดปล่อยทาสการให้ค่าจ้าง และการอุปถัมภ์ชุมชนมอญของท่านได้สร้าง ความจงรักภักดีและความเคารพรักอย่างแท้ จริงจากราษฎรซึ่งเป็นเกียรติยศที่สูงส่ง และยั่งยืนกว่าตำแหน่งใดๆในราชสำนักและมา จนถึงปัจจุบันนี้อนุสรณ์สถานของเจ้าจอม

มาดากลิ่นยังคงตั้งตระงานอยู่วัดสุทธาโพช เป็นอนุสาวรีรูปหินอ่อนที่ตั้งอยู่ภายใต้ ซุมบุสบกหน้าโบสถ์อย่างสง่างามรูปปั้นนี้ แสดงให้เห็นถึงท่านในชุดแต่งกายที่ประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ฉันทุติย จุลจอมเกล้าวิเศษฝ่ายในที่ได้รับพระ ราชทานซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงสถานะที่ มั่นคงและเกียรติยศที่ท่านได้รับจากการ รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาตลอดชีวิต อนุสาวรียนี้จึงเป็นสัญลักษณ์สุดท้ายที่ จารึกเรื่องราวของสตรีผู้พลิกโลกทัศยาม สตรีผู้ที่เกิดมาพร้อมกับความระแวงจาก ชาติกำเนิดแต่ใช้ปัญญาความมุ่นมั่นและ ความเมตตาในการต่อสู้จนสามารถสร้างมรดก

แห่งความก้าวหน้าและศีลธรรมไว้ให้แก่ลูก หลานและแผ่นดินไทยอย่างยิ่งใหญ่ตลอดกาล เป็นบทสรุปแห่งชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุด ครับทุกท่านครับขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเลย นะครับสำหรับการติดตามรับชมและรับฟัง เรื่องราวอันยิ่งใหญ่และน่าประทับใจของ เจ้าจอมมารดากลิ่นในรัชกาลที่ 4 มาจนถึง บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดนี้ครับผมรู้ สึกเป็นเกียรติและภูมิใจอย่างที่สุดเลย ครับที่ได้มีโอกาสนำเสนอเรื่องราวการสู้ ชีวิตด้วยปัญญาของสตรีผู้มองการไกลท่าน นี้ให้ทุกท่านได้ร่วมเรียนรู้และร่วม ประทับใจไปด้วยกันหากในระหว่างการนำเสนอ มีข้อผิดพลาดประการใดหรือการใช้ภาษาที่

อาจติดขัดไปบ้างผมต้องขอกราบขออภัยมาณที่ นี้ด้วยนะครับและขอสัญญาจากใจว่าจะพยายาม ปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไป เรื่อยๆอย่างแน่นอนครับยังไงก็ฝากทุกท่าน ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับผมอยากจะ ฝากข้อคิดไว้นิดหน่อยครับว่าเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์โดยเฉพาะในมิติที่ละเอียด อ่อนและมีหลายมุมมองเช่นเรื่องของเชื้อ สายรามันการถูกระแวงหรือการปลดปล่อยธาตุ นั้นอาจแตกต่างไปจากสิ่งที่ทุกท่านเคยรับ ทราบมาบ้างนะครับผมจึงขอให้ทุกท่านใช้ วิจารณญาณในการรับชมครับเพราะการเรียนรู้ ที่จะเปิดรับและทำความเข้าใจในมุมมองที่ แตกต่างนั้นไม่ใช่เรื่องผิดพลาดเลยครับ

แต่กลับเป็นการต่อยอดทางปัญญาตามแนวทาง ที่เจ้าจอมมารดากลิ่นได้แสดงให้เราเห็นมา ตลอดทั้ง 9 ตอนถ้าทุกท่านชื่นชอบเรื่อง ราวที่ผมตั้งใจทำในวันนี้ก็อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์และที่สำคัญที่สุดคือกดติดตาม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *