คำทำนายยุครัชกาลที่10อีกไม่นานเมืองจะเข้ายุคกรุศรีอยุธยา หมอปลาย

ปี 256 กลายเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านที่ผู้คน เริ่มหันกลับมามองโลกด้วยสายตาใหม่หลาย สิ่งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทั้งสภาพอากาศ ที่แปรปรวนเหตุการณ์ธรรมชาติที่ดูเหมือน จะเตือนบางอย่างและทั้งหมดนี้กลับสอด คล้องกับคำพูดของหมอปายหญิงผู้เคยพูดถึง การตื่นของโลกมานานก่อนที่ทุกอย่างจะ เริ่มขึ้นคำพูดที่ครั้งนึงเคยถูกมองว่า เป็นเพียงเรื่องเล่ากำลังกลายเป็นจริงที ละน้อยหมอป่ายไม่ได้เป็นหมอที่รักษาโรค แต่เธอคือผู้มองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ มองเห็นผู้มีญาณที่สัมผัสได้ถึงพลังของ ธรรมชาติและจิตใจมนุษย์เธอเตือนว่าเรา กำลังลืมฟังเสียงของโลกลืมฟังเสียงของตัว

เองและนั่นคือเหตุผลที่ธรรมชาติต้องส่ง สัญญาณกลับมาเพื่อปลุกให้มนุษย์รู้ว่าโลก ไม่ได้เป็นของเราผู้เดียวแต่เป็นของทุก ชีวิตที่อยู่ร่วมกันเธอกล่าวว่าสัญญาณแรก จะมาเมื่อเสียงฟ้าครึนดังขึ้นในต้นฤดูฝน นั่นคือน้ำกำลังจะกลับมาอีกครั้งและจะ รุนแรงกว่าครั้งใดที่ผ่านมาโดยเฉพาะพื้น ที่ลุ่มภาคกลางอย่างอยุธยาราชบุรีและ สุพรรณบุรีที่อาจต้องเผชิญน้ำท่วมสูงจน บ้านเรือนและถนนกลายเป็นแม่น้ำธรรมชาติ กำลังขอคืนสิ่งที่มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไป อย่างไม่หยังทิศแต่ไม่เพียงแต่น้ำเท่า นั้นที่หมอปายกล่าวถึงเธอยังเตือนถึงการ สั่นสะเทือนของแผ่นดินที่จะมาพร้อมกับ

พลังที่มากพอจะทำให้อาคารบางแห่งเกิดรอย ร้าวเหตุการณ์นี้อาจไม่รุนแรงพอจะทำลาย ทุกอย่างแต่เพียงพอจะทำให้มนุษย์ตระหนัก ว่าความมั่นคงที่เราคิดว่ามีอาจเป็นเพียง ภาพลวงตาของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หมอป่ายยังพูดถึงสิ่งที่อยู่ลึกลงไปใต้ ทะเลว่ากำลังจะตื่นจากการหลับไหลอันยาว นานนักวิทยาศาสตร์เริ่มพบแรงสั่นสะเทือน ที่ผิดปกติในทะเลอันดามันคล้ายกับการ เคลื่อนไหวของภูเขาไฟใต้ทะเลที่กำลังจะ ฟื้นคืนชีวิตหากมันปะทุขึ้นจริงผลกระทบ อาจขยายไปไกลเกินกว่าที่เราจะจินตนาการ ได้เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทั้งทาง กายภาพและจิตวิญญาณของมนุษย์คำเตือนทั้ง

หมดของหมอป่ายไม่ใช่เพื่อสร้างความกลัว แต่เพื่อให้มนุษย์ได้ตื่นจากความหลงลืม เธออยากให้เรากลับมาฟังเสียงของธรรมชาติ เสียงของความสงบและเสียงของหัวใจที่แท้ จริงก่อนที่ธรรมชาติจะใช้หนทางที่รุนแรง กว่านี้ในการเรียกร้องให้เราหยุดและมองดู โลกอีกครั้งด้วยสายตาแห่งความเมตตา เสียงคำว่าภูเขาไฟใต้ทะเลเพียงแค่ได้ยิน ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นเพราะมันไม่ใช่ เพียงเรื่องลึกลับในตำนานอีกต่อไปหมอปาย เคยพูดถึงภัยจากดินน้ำลมไฟที่จะมาอย่าง พร้อมเกรียงและวันนี้สัญญาณเหล่านั้น เริ่มปรากฏขึ้นจริงจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด เรือบรรทุกสินค้าระเบิดกลางทะเลใกล้แหลม

ชะบังเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นแตะฟ้าราวกับ ธรรมชาติกำลังแสดงผังให้มนุษย์เห็นว่าไม่ มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่คงอยู่ตลอดไปมันเป็น เสียงเตือนจากโลกว่าถึงเวลาแล้วที่เรา ต้องตื่นแต่ภัยพิบัติจากธรรมชาติกลับไม่ ใช่สิ่งที่หมอปายเป็นห่วงที่สุดเธอกล่าว ว่าภัยที่ร้ายแรงกว่าคือภัยในใจมนุษย์ เมื่อจิตใจอ่อนแอโลภและขาดศีลธรรมทุกระบบ ในโลกย่อมสั่นคลอนเธอเตือนถึงเศรษฐ คนตกงานเพิ่มขึ้นเงินสดเริ่มขาดค่าและ ความมั่นคงของผู้คนกำลังจะถูกทดสอบอย่าง หนักสิ่งที่เราเคยพึ่งพาอาจไม่เหลืออยู่ เหมือนเดิมอีกต่อไปความหวังของคนจำนวนมาก เริ่มจมหายไปพร้อมกับน้ำและไฟที่โหม

กระหน่ำหมอปายยังพูดถึงสิ่งหนึ่งที่หลาย คนมองข้ามคือธงคำเธอบอกว่าเมื่อโลกเริ่ม สั่นคลอนทองจะกลับมามีค่ามากที่สุดอีก ครั้งในยามที่ค่าเงินสูญเสียความเชื่อ มั่นทองคำจะเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง และความหวังเธอเตือนว่าอย่าเพิ่งขายทองใน ปีนี้เพราะเมื่อความสิ้นหวังเข้าครอบงำ ผู้คนราคาทองจะพุ่งขึ้นอีกครั้งนี่ไม่ใช่ เพียงคำแนะนำทางเศรษฐกิจแต่คือคำเตือน เรื่องการเอาตัวรอดของมนุษย์ในวันที่ทุก อย่างพักตั้งทลายอย่างไรก็ตามแก่นแท้ของ สิ่งที่หมอป่ายต้องการสื่อไม่ใช่เรื่อง ทองหรือภัยธรรมชาติแต่คือชี้ให้เห็นถึง ที่มาของทุกปัญหาเธอกล่าวว่าภัยที่แท้

จริงไม่ได้มาจากฟ้าหรือแผ่นดินแต่มาจากใจ คนที่ยังไม่รู้จักพอธรรมชาติไม่ได้ ต้องการทำร้ายใครแต่มันเพียงสะท้อน พฤติกรรมของเราให้เห็นกลับมาโลกภายนอกไม่ มั่นคงเพราะใจคนไม่มั่นคงเราโทษธรรมชาติ ว่าโหดร้ายแต่เราไม่เคยยอมรับว่าเราคือ ผู้เริ่มต้นความโหดร้ายนั้นเธอย้ำว่าความ รอดเดี่ยวที่แท้จริงคือศรัทธาในความดีและ สติในปัจจุบันไม่ใช่ธงคำไม่ใช่กำแพงแพง คอนกรีตหรือเงินจำนวนมากแต่คือการเตรียม ใจให้พร้อมรับมือเธอกล่าวว่าเมื่อภัยมา ถึงคนที่มีสติจะไม่ตื่นกลัวต้นสิ้นหวัง แต่จะรู้ว่าควรทำอย่างไรและคนที่มีศรัทถา จะไม่ล้มแม้โลกจะสั่นสะเทือนเพราะศรัทธา

และสติคือเกราะที่แข็งแรงที่สุดของมนุษย์ >> วันนี้เมื่อผู้คนเริ่มเผชิญภัยจริงหลายคน กลับมาหาธรรมะอีกครั้งมีคนสวดมนต์ท่าม กลางน้ำที่ท่วงถึงบันไดบ้านมีผู้คนหัน กลับมาช่วยเหลือกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นี่คือสิ่งที่หมอปลายหมายถึงการตื่นของใจ คนเมื่อธรรมชาติส่งสัญญาณเตือนมันไม่ใช่ เพียงการทำลายแต่คือการปลุกให้เรารู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ต้องกลับมารักโลกและ รักกันอีกครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกิน ไปโลกในวันนี้กำลังสั่นสะเทือนด้วยสัญญาณ แห่งการเปลี่ยนผ่านไม่ใช่เพราะความพินาศ แต่เพราะมนุษย์เริ่มถูกบังคับให้หันกลับ มามองตัวเองฟ้าฝนที่แปรปรวนเศรษฐกิจที่ตก

ต่ำและภัยพิบัติที่เกิดซ้ำไม่ใช่คำสาปจาก เบื้องบนแต่คือการเตือนจากธรรมชาติให้เรา ช้าลงและฟังเสียงหัวใจหมอปลายเคยกล่าวว่า ปี 2569 จะไม่ใช่ปีแห่งความกลัวแต่คือปีที่คนจะ เริ่มมองเห็นความจริงภายในใจของตนเองว่า ชีวิตที่เราวิ่งตามอยู่นั้นใช่สิ่งที่แท้ จริงหรือไม่เมื่อทุกสิ่งผ่านพ้นไปสิ่งที่ เหลืออยู่ไม่ใช่เศษซากแห่งความสูญเสียแต่ คือเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้าใจความเมตตา และศรัทธาที่เติบโตขึ้นในใจผู้คนหมอปลาย เตือนว่าความทุกข์คือบทเรียนอันล้ำค่าที่ สวรรค์ส่งมาให้หากใจเราเข้มแข็งภัยใดก็ ไม่อาจทำร้ายเราได้แต่ถ้าใจอ่อนแอแม้ไม่

มีภัยเราก็ยังล้มลงด้วยตัวเองถือบอกให้ เราฝึกสติฝึกศีลและเดินบนทางแห่งธรรม เพราะนี่คือเกราะเดียวที่จะปกป้องเราใน ยุคที่โลกไม่แน่นอนปี 2569 จึงเป็นเหมือนประตูที่เปิดสู่โลกใหม่โลก ที่มนุษย์ต้องตื่นจากความหลงหมอปลายบอก ว่าภัยภายนอกไม่ใหญ่เท่าภัยในใจและประโยค นี้กำลังเป็นจริงในทุกมิติเราเห็นผู้คน เริ่มตั้งคำถามกับชีวิตมากขึ้นเริ่มหัน กลับไปหาความเรียบง่ายความสงบและคุณค่า ที่แท้จริงของการมีชีวิตไม่ใช่แค่เงินทอง หรือชื่อเสียงแต่คือการได้มีหัวใจที่ บริสุทธิ์และมีเมตตาต่อกันในอีกมุมหนึ่ง ของกาลเวลาคำทำนายโบราณได้กล่าวไว้ว่า

ประเทศไทยจะเผชิญการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อยุคของราชาองค์ที่ 11 มาถึงไม่มีใคร รู้แน่ชัดว่าคำพูดนั้นหมายถึงสิ่งใดแต่ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเหมือน เป็นการต่อจิ๊กซอของคำพยากรณ์ที่สืบทอดมา กว่า 200 ปีทั้งภัยธรรมชาติการเมืองและ ความผันผวนของสังคมล้วนสะท้อนความจริงบาง อย่างที่ซ่อนอยู่ในคำทำนายนั้นเมื่อย้อน มองอดีตคำทำนายนี้มีรากจากพระเกจิผู้ทรง ญาณท่านกล่าวถึงถิ่นกาขาวชาวศรีวิไล ดินแดนแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นใน ยุคใหม่หลายคนเคยคิดว่าเป็นเพียงนิทาน ปรัมปรา แต่เหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2567

กลับทำให้ชื่อถิ่นกาขาวถูกพูดถึงอีกครั้ง ราวกับจักรวาลกำลังชี้ให้เห็นว่าคำ พยากรณ์นั้นไม่ได้หายไปไหนมันเพียงรอเวลา ที่จะปรากฏชัดในยุคนี้เท่านั้นประเทศไทย ในวันนี้จึงอยู่บนทางแยกระหว่างอดีตกับ อนาคตระหว่างความมืดกับแสงสว่างและ ระหว่างความกลัวกับการตื่นรู้หมอปลายฝาก ไว้ว่าหากเรามีสติมีศีลและมีธรรมะเป็นแสง นำทางไม่ว่าคำทำนายจะเป็นจริงเพียงใดเรา ก็จะผ่านพ้นทุกข์วิกฤตไปได้เพราะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดไม่ได้อยู่บนฟ้าแต่ อยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน >> คำพยากรณ์เก่าแก่ที่กำลังถูกพูดถึงในยุค นี้มีต้นฉบับอยู่ 2 สายสำคัญ 1 คือบันทึก

ของสมเด็จพระพุทธาจารย์โตพรหมรังสี พระเกจิผู้เปี่ยมด้วยปัญญาแห่งสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้นคำทำนายของท่านปรากฏ ขึ้นหลังจากสิ้นชีพในปีพ.ศ. 2415 ว่าด้วยรหัส 10 ประโยคซึ่งหลายคนเชื่อว่า เป็นการบอกเหตุการณ์ของบ้านเมืองไทยในแต่ ละยุครัชกาลส่วนอีกแหล่งนึงมาจากสมุทรอย โบราณของพระพุทธโฆษาจารย์ หลวงพ่อใหญ่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งต่อมาหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เปิดเผยและ อธิบายไว้ในปีพ.ศ. 2518 ว่าคือคำทำนายเกี่ยวกับชะตาของ กรุงเทพมหานครในอนาคตแม้ทั้งสองธรรม พยากรณ์จะมาจากคนละยุคแต่กลับมีเนื้อหา ที่สอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดหลายตอนพูด ถึงสิ่งเดียวกันราวกับผู้บันทึกอยู่ใน

ห้วงเวลาเดียวกันไม่ว่าจะเป็นภัยสงคราม ความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองหรือการ เสื่อมและฟื้นของธรรมะในใจผู้คนนัก วิชาการหลายคนจึงพยายามถอดรหัสเหล่านี้ เพื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงที่เกิด ขึ้นในแต่ละรัชกาลตลอด 2 ศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งหลายส่วนกลับตรงกับประวัติศาสตร์ราว กับล่วงรู้อนาคตไว้ก่อนเมื่อย้อนดูตั้ง แต่รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด ฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงนำพาชาติรอดพ้นจาก ความวุ่นวายในยุคกรุงธนบุรีสถาปนาราชวงศ์ จักรีและรวมแผ่นดินให้กลับมาสงบสุขอีก ครั้งจากนั้นในรัชกาลที่ 2 ประเทศเจริญ ด้วยธรรมพระสงฆ์มีเวลาฟื้นฟูพระไตรปิฎก

แต่ก็ต้องเผชิญโรคภัยระบาดครั้งใหญ่ที่ คร่าชีวิตผู้คนมากมายส่วนรัชกาลที่ 3 ไทย เปิดประตูรับต่างชาติเกิดความวุ่นวายด้าน การค้าแต่พระองค์ทรงวางรากฐานเศรษฐกิจที่ มั่นคงให้ชาติในระยะยาวในรัชกาลที่ 4 พระ มหากษัตริย์ทรงเป็นนักบวชมาก่อนและทรง อุทิกตนเพื่อเผยแผ่พระธรรมถือศีลฟังธรรม และส่งเสริมการศึกษาศาสนาสมเด็จโตในยุค นั้นจึงได้เป็นคู่ธรรมะสนทนากับพระองค์ เป็นช่วงที่ศาสนาฟื้นตัวอย่างมากต่อมาใน รัชกาลที่ 5 บ้านเมืองต้องเผชิญแรงกดดัน จากจักรวรรดินิยมแต่พระองค์ทรงใช้ปัญญา และการทูตยอมแลกบางส่วนของแผ่นดินเพื่อคง ไว้ซึ่งเอกราชไทยในยุครัชกาลที่ 6 บ้าน

เมืองเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงพระองค์ ทรงเป็นผู้มีจิตใจเมตตาแต่ข้าราชบริพาร บางกลุ่มกลับใช้โอกาสหาผลประโยชน์ขณะที่ ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญความยากจนอย่าง ไรก็ตามหลวงพ่อฤาษีลิงดำกลับมองว่านี่คือ ยุคที่พระองค์ทรงปลุกสำนึกให้คนไทยรัก ชาติและเห็นคุณค่าความเป็นประชาธิปไตย ต่อมาในรัชกาลที่ 7 ประเทศประสบปัญหา เศรษฐกิจพระองค์จำต้องสละราชสมบัติและทรง ลี้ภัยไปต่านแดนซึ่งตรงกับคำทำนายที่ว่า นั่งทนทุกข์และเมื่อถึงรัชกาลที่ 8 ประเทศอยู่ในห้วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความทุกข์ยากและความอดอยากแผ่ไปทั่วแผ่น ดินบ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการจับ

กุมทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์หลายอย่างตรงกับถ้อยคำในคำทำนาย ที่กล่าวถึงยุคทมิฬ คนต้องผ่านความมืดมิดก่อนจะพบแสงใหม่ใน อนาคตคำพยากรณ์เหล่านี้จึงมิได้เป็นเพียง ตำนานแต่สะท้อนวงจรชีวิตของแผ่นดินที่ทุก ครั้งแห่งความทุกข์ล้วนเป็นการปูทางไปสู่ ยุคแห่งการตื่นรู้เสมอคำทำนายเก่าแก่ที่ กล่าวถึงถิ่นกาขาวในรัชกาลที่ 9 มักถูกตี ความว่าเป็นยุคที่ชาวต่างชาติหลั่งไหล เข้ามาเมืองไทยมากที่สุดทั้งนักลงทุนนัก ท่องเที่ยวและผู้เกษียณจากทั่วโลกที่ เลือกใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่ดินแดนแห่ง รอยยิ้ม ไทยจึงกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจระดับโลก ในด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวช่วงเวลา

นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปิดรับของสังคม ไทยต่อความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก ต่อมาในรัชกาลที่ 10 คำทำนายได้เอ่ยถึง ชาววิไลซึ่งมาจากคำว่าสิวิไลสหมายถึงความ เจริญรุ่งเรืองสันติสุขและความงดงามของ จิตใจผู้คนเชื่อกันว่ายุคนี้คือช่วง เปลี่ยนผ่านจากความวุ่นวายไปสู่ความมั่น คงและความสงบ บ้านเมืองจะเข้าสู่ภาวะรุ่งเรืองทั้งด้าน เศรษฐกิจและจิตใจเหมือนกับการฟื้นคืนของ อารยธรรมใหม่ที่ผสมผสานความทันสมัยเข้า กับจิตวิญญาณไทยดั้งเดิม อย่างไรก็ตามหลายคนยังตั้งคำถามว่าเรา ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิลแล้วหรือยังเพราะ ความขัดแย้งทางการเมืองปัญหาสังคมและ เสียงสะท้อนจากประชาชนยังคงดำเนินอยู่ไม่

สิ้นสุดบางคนมองว่านี่อาจเป็นช่วงรอยต่อ ก่อนถึงยุคแห่งความสงบที่แท้จริงขณะที่ บางส่วนเห็นว่าประเทศไทยกำลังเผชิญบททด สอบครั้งใหญ่ที่ต้องอาศัยสติและความร่วม มือจากทุกฝ่ายในการก้าวผ่าน ในอดีตมีความเข้าใจผิดว่าราชวงศ์จักรีจะ มีเพียง 10 รัชกาลเท่านั้นแต่หลายพระ อาจารย์ผู้มีญาณอภิญญากล่าวตรงกันว่าพระ มหากษัตริย์จะทรงดำรงอยู่คู่ชาติไทยไปอีก ยาวนานเพราะคำทำนายสิ้นสุดเพียงรัชกาลที่ 10 ไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของราชวงศ์ แต่สะท้อนถึงความสมบูรณ์และความมั่นคงของ แผ่นดินหลังยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านเมื่อ ย้อนมองการตั้งชื่อพรรคการเมืองอย่างถิ่น

กาขาวชาววิไลจะเห็นได้ว่ามีรากฐานมาจากคำ ทำนายทั้งสองรัชกาลที่กล่าวถึงความเชื่อม โยงนี้มิใช่เรื่องบังเอิญหากแต่สะท้อนให้ เห็นถึงความศรัทธาและความหวังของคนไทยที่ ยังผูกพันกับคำพยากรณ์โบราณเชื่อว่าความ เจริญในอนาคตจะเกิดขึ้นได้จากการเข้าใจ อดีตและนำบทเรียนเหล่านั้นมาเป็นแนวทาง พัฒนาประเทศท้ายที่สุดไม่ว่าคำทำนายจะ เป็นจริงหรือไม่ความรุ่งเรืองของประเทศ ไทยไม่ได้อยู่ในมือของโชคชะตาหากแต่อยู่ ในมือของประชาชนทุกคนการสร้างสังคมชาววิล จึงมิใช่การรอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทุกคนที่ จะปลูกฝังความดีความยุติธรรมและความเมตตา

เพื่อพาประเทศเดินไปสู่ยุคแห่งความสงบสุข ที่แท้จริงในยุคปัจจุบันยังมีคำถามที่ หลายคนตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของ สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะเมื่อเอ่ยถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยา เธอเจ้าฟ้าทีปังกรัสมีโชติ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พระองค์ทรง ประสูติเมื่อวันที่ 29 เมษายนพุทธศักราช 2548 และทรงเป็นพระราชโอรสองค์เดียวของในหลวง รัชกาลปัจจุบันตามกฎมณเฑียบาล ปี 2467 พระองค์จึงทรงเป็นรัชทายะญาติโดยชอบธรรม ผู้ที่จะสืบราชสมบัติในอนาคตพระองค์ทรง ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนจิตลดาและทรง

ร่วมในพระราชกรณียกิจ ต่างๆเคียงข้างพระบรมราชชนก เป็นที่ยึดเหนี่ยวใจของประชาชนที่มี ศรัทธาต่อสถาบัน เมื่อกล่าวถึงคำทำนายโบราณซึ่งเชื่อกัน ว่ามาจากพระพุทธาจารย์โตและพระ พุทธโฆษาจารย์ ได้มีการบันทึกถึงรัชกาลต่างๆของราชวงศ์ จักรีไว้ทั้งหมด 10 รัชกาลพร้อมถ้อยคำที่ สื่อถึงเหตุการณ์สำคัญในแต่ละยุคเช่นถิ่น กาขาวซึ่งตีความว่าเป็นสมัยที่ชาวต่าง ชาติเข้ามามีบทบาทมากโดยเฉพาะชาวตะวันตก ในยุคยุครัชกาลที่ 9 ส่วนชาววิไลในรัชกาล ที่ 10 หมายถึงยุคแห่งความเจริญร่มเย็น และความสงบสุขที่ผู้คนจะได้สัมผัสถึงความ มั่นคงของชาติบ้านเมือง

อย่างไรก็ตามจุดที่ทำให้ผู้คนฉงนก็คือคำ ทำนายดังกล่าวหยุดเพียงรัชกาลที่ 10 โดย ไม่กล่าวถึงรัชกาลถัดไปทำให้เกิดการตี ความที่หลากหลายบางคนมองว่านั่นอาจเป็น สัญลักษณ์ของจุดสิ้นสุดแห่งการพยากรณ์ เพราะหลังจากนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุค แห่งความรุ่งเรืองถาวรไม่จำเป็นต้องมีคำ ทำนายต่อส่วนอีกแนวคิดหนึ่งเชื่อว่าความ เงียบของคำทำนายคือสัญญาณของการเปลี่ยน ผ่านครั้งสำคัญ ในประวัติศาสตร์ไทยเมื่อพิจารณาตามกฎ มณเฑียบาล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า ทีปังกรัสมีโชติ ย่อมทรงเป็นรัชทายาทโดยตำแหน่งที่จะขึ้น ครองราชย์ในอนาคตในฐานะรัชกาลที่ 11 พระ

องค์ทรงได้รับการอบรมด้านพระราชจริยา และพระราชภารกิจมาอย่างต่อเนื่อง มีพระบรมวงศานุวงศ์ คอยถวายการสนับสนุนอย่างใกล้ชิดจึงเป็น ที่เชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ว่าพระ องค์จะทรงสืบทอดเจตนารมณ์ของราชวงศ์จักรี ในการทำรงไว้ซึ่งศาสนาชาติและพระ มหากษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงจากบางกลุ่มที่ มองว่าโลกยุคใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่าง รวดเร็วหลายประเทศได้ปรับระบอบการปกครอง ให้มีรูปแบบที่จำกัดพระราชอำนาจหรือแม้ แต่ยกเลิกระบบกษัตริย์ไปโดยสิ้นเชิงแนว คิดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันจาก สังคมโลกที่อาจมีผลกระทบต่อประเทศไทยใน อนาคตโดยเฉพาะในประเด็นการปฏิรูปสถาบัน

และการสร้างสมดุลระหว่างประเพณีกับความ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองแม้จะมีความเห็น ที่แตกต่างกันแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจ ปฏิเสธได้คือสถาบันพระมหากษัตริย์เป็น ส่วนหนึ่งของรากเหง้าทางวัฒนธรรมและจิต วิญญาณของคนไทยมายาวนานคำทำนายที่สิ้นสุด เพียง 10 รัชกาลอาจไม่ได้หมายถึงการจบ สิ้นของราชวงศ์แต่เป็นการเปิดประตูสู่ยุค ใหม่แห่งความมั่นคงและสันติสุขที่ยั่งยืน พระมหากษัตริย์จะยังคงดำรงอยู่คู่ชาติไทย ตราบเข้าที่ประชาชนยังมีศรัทธาและร่วมกัน รักษาความเป็นไทยไว้อย่างมั่นคง แม้คำทำนายจะกล่าวถึงความรุ่งเรืองและ สันติสุขในยุคใหม่แต่ความเป็นจริงกลับ

สะท้อนภาพอีกด้านหนึ่งของประเทศไทยที่ กำลังยืนอยู่บนทางแยกแห่งการเปลี่ยนแปลง สังคมไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วยความเห็น ต่างทางการเมืองและความไม่ไว้วางใจ ระหว่างกลุ่มคนความขัดแย้งเหล่านี้ได้ ขยายตัวกลายเป็นแรงกดดันทางสังคมที่ยากจะ มองข้ามเสียงเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูป ทั้งในระดับโครงสร้างการเมืองเศรษฐกิจและ สถาบันต่างๆดังกล้องไปทุกพรรคส่วนของ ประเทศ ด้านเศรษฐกิจเองก็ไม่ได้มั่นคงดังเช่นใน อดีตการเติบโตที่ฉลอตัวความเหลื่อมล้ำทาง รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นและภาระหนี้สินที่ กดดันครัวเรือนไทยกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่ท้าทายความสามารถของรัฐบาลและประชาชน ความฝันถึงความมั่งคั่งจึงดูเหมือนอยู่

ห่างออกไปเรื่อยๆในขณะที่ผู้คนจำนวนมาก ยังคงต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำ วัน โลกภายนอกก็เต็มไปด้วยความผันผวนที่ไม่ อาจคาดเดาได้ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนโฉมชีวิตมนุษย์อย่างรวดเร็วสงคราม ตามการค้าระหว่างประเทศไผพิบัติและโรค ระบาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านี้ เป็นบททดสอบใหม่ของโลกยุคปัจจุบันที่ ประเทศไทยเองก็ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ ได้และจำเป็นต้องปรับตัวให้เท่าทัน สถานการณ์โลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หลายคน ยังคงตั้งคำถามถึงอนาคตของราชบัลลังก์ไทย และความต่อเนื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกร

รัศมีโชติพระราชโอรสในรัชกาลที่ 10 ถูก มองว่าเป็นความหวังของผู้ที่ศรัทธาใน ราชวงศ์จักรีพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของ การสืบต่อเจตนารมณ์แห่งความมั่นคงและ เกียรติภูมิของชาติแต่เส้นทางในอนาคตยัง เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีใครตอบได้อย่าง แน่นอน คำถามใหญ่ที่สังคมไทยต้องร่วมกันขบคิดคือ ประเทศไทยจะสามารถก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไล ตามที่คำทำนายโบราณได้กล่าวไว้จริงหรือ ไม่หรือเรายังต้องเดินผ่านบทเรียนของความ วุ่นวายความแตกแยกและการฟืนฟูอีกระยะ หนึ่งก่อนจะพบแสงแห่งความสงบสุขที่แท้ จริงทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการกระทำของคนไทย ในวันนี้ว่าจะร่วมมือกันสร้างอนาคตเช่นไร สุดท้ายไม่ว่าคำทำนายจะเป็นจริงหรือไม่

ความรับผิดชอบของเราคือการดำรงรักษาราก เหง้าแห่งชาติศาสนาและสถาบันไว้ควบคู่กับ การเปิดใจรับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุค ใหม่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดอย่าง สง่างามในยุคสมัยแห่งความท้าทายและก้าว ต่อไปอย่างมั่นคงสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม เมื่อย้อนมองสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเราอาจ เห็นภาพสะท้อนของสังคมไทยที่กำลังยืนอยู่ บนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนผ่านความ รุ่งเรืองไม่ได้เกิดจากโชคชะตาหรือคำ ทำนายเพียงอย่างเดียวแต่เกิดจากการร่วม มือของผู้คนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงและ สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน นี้ทุกยุคทุกสมัยของชาติไทยต่างมีทั้ง

ความทุกข์และความสุขปะปนกันไปแต่สิ่งที่ ทำให้เราผ่านพ้นได้คือจิตใจที่ไม่ย่อท้อ และศรัทธาที่มั่นคงต่อความดีความยุติธรรม และความสงบภายในใจการจะเดินไปสู่ยุคชาว วิลที่แท้จริงนั้นจึงไม่ใช่เพียงแค่รอให้ คำทำนายเป็นจริงแต่คือการที่เราทุกคนร่วม กันลงมือทำในปัจจุบันสร้างสังคมที่เต็มไป ด้วยความเมตตาความเข้าใจและความรับผิดชอบ ต่อกันเพราะอนาคตของประเทศไทยในวันนี้ไม่ ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใดเพียงคนเดียวแต่ อยู่ในมือของคนไทยทุกคนที่พร้อมจะพา ประเทศเดินหน้าไปด้วยหัวใจแห่งปัญญาและ ความรักชาติที่แท้จริงสิ่งที่เราได้พูด ถึงในตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอดีตหรือ

อนาคตแต่คือการเตือนใจให้ทุกคนกลับมามอง ภายในว่าจิตใจของเราพร้อมหรือยังที่จะ เป็นชาววิไลคนหนึ่งในยุคแห่งแสงสว่างนี้ ไม่ว่าคำทำนายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่แต่ การที่เราฝึกจิตใจให้มีสติมีปัญญาและรู้ เท่าทันอารมณ์ของตนเองนั่นคือหนทางแห่ง ความรุ่งเรืองที่แท้จริงของมนุษย์ประเทศ ไทยในวันนี้ยังคงมีความหวังมีพลังจากผู้ คนที่ไม่หยุดเชื่อในความดีและไม่ยอมแพ้ ต่อความมืดมนของสถานการณ์เมื่อทุกคนเริ่ม จากการปรับเปลี่ยนตัวเองทีละน้อยโลกภาย นอกก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยความรุ่งเรืองจึง มิใช่สิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมแต่คือสิ่ง ที่เริ่มต้นจากหัวใจของเราทุกคนในวันนี้

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับฟังเรื่องราว แห่งคำทำลายและการตื่นรู้ของสังคมไทยใน วันนี้หากท่านรู้สึกชอบในเนื้อหานี้อย่า ลืมกดถูกใจกดแชร์และกดติดตามช่องการฝึก จิตใจเพื่อไม่พลาดเรื่องราวธรรมะดีๆที่จะ ช่วยเปิดมุมมองชีวิตของท่านให้ลึกซึ้ง ยิ่งขึ้นแล้วพบกันใหม่ในวีดีโอต่อไปนะ ครับขอให้ทุกท่านมีจิตใจที่สงดเบิกบานและ ก้าวสู่หนทางแห่งความวิไลอย่างแท้จริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *