ท่ามกลางความโศกเศร้าและความอาลัยต่อการ สวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระ บรมราชินีนาถพระบรมราชรณีพันปีหลวงมีสิ่ง หนึ่งที่หลายคนต่างหวนคิดถึงและยังคงอยู่ ในหัวใจของคนไทยทุกคนคือเรื่องราวเส้นทาง รักอันยิ่งใหญ่และมั่นคงของพระองค์ตลอด พระชนชีพที่ทรงยืนเคียงข้างพระบาทสมเด็จ พระบรมชนกาธิเบศมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรซึ่งภาพจำที่ชัดเจนที่สุดคือ การที่ทรงเป็นดั่งรอยยิ้มของพระราชามาโดย ตลอดPlนerEpีนี้จะขอพาทุกคนย้อนกลับไปยัง จุดเริ่มต้นของเส้นทางรักในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกันณกรุงปารีสจน

ถึงวันที่ทรงได้รับการเทิดพระเกียรติยศ สูงสุดในฐานะพระพันปีหลวงนี่จึงไม่ใช่แค่ ตำนานรักส่วนพระองค์นะครับแต่คือเรื่อง ราวการอุทิศพระวรกายและการทำงานเคียงคู่ กันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย อย่างแท้จริงครับ [เพลง] จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดนี้นะครับ ต้องย้อนกลับไปในช่วงที่บรรยากาศของบ้าน เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงผันผวนนะครับ สมเด็จพระพันธ์ปีหลวงทรงประสูติเมื่อวัน ที่ 12 สิงหาคมพ.ศ. 2475 เพียง 1 เดือนกว่าๆหลังการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองโดยแรกเริ่มนะครับทรงมีพระ ราชอิสริยยศเป็นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิตติยากรโดยชื่อสิริกิติ์นะครับได้รับ

พระราชทานมาจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรณี นะครับพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 โดยชื่อ มีความหมายว่าผู้เป็นสีแห่งกิตยากรนะครับ หรือผู้ที่มีผู้สรรเสริญเล่าลืออันเป็น สิริมงคลโดยในช่วงแรกประสูตินะครับพระพัน ต้องอยู่ห่างไกลจากเอ่อพระบิดาและพระ มารดาและต้องอยู่ในความดูแลของพระยา วงศานุประพัสซึ่งเป็นตาและท้าววณิดา พิจารณีซึ่งเป็นยายนะครับเนื่องจากในช่วง เวลานั้นพระบิดาของท่านคือหม่อมเจ้านัก ขัตรมงคลกิตยากรเพิ่งลาออกจากราชการทหาร และย้ายไปรับตำแหน่งทางการทูตที่กรุง วอชิงตันดีซประเทศสหรัฐอเมริกานะครับส่วน พระมารดาของท่านคือหม่อมหลวงบัวกิตติยากร

ก็ต้องเดินทางไปสมทบที่นั่นหลังจากที่ เพิ่งให้กำเนิดท่านได้ไม่นานซึ่งเป็นช่วง เวลาคาบเกี่ยวหลังการเปลี่ยนแปลงการปก ครอง 2475 ตอนนั้นพอดีครับชีวิตในวัยเยาวของพระองค์ ท่านจึงต้องผูกพันกับความผันผวนทางการ เมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้นะครับแม้จะอยู่ใน ความดูแลของทั้งคุณตาและคุณยายแต่ไม่นาน นะฮะก็ต้องเผชิญกับมรสุมทางการเมืองอีก ครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดชเกิด ขึ้นในปี 2476 ในครั้งนั้นนะครับย่าของท่านคือหม่อมเจ้า อัสรสมานก็ได้พาท่านซึ่งยังทรงพระเยามาก ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ หัวรัชกาลที่ 7 ลี้ภัยทางการเมืองไปไกล ถึงจังหวัดสงขลาในครั้งนั้นด้วยนะครับ

ซึ่งเรื่องนี้หม่อมราชวงศ์กิตติวัฒนาปก มนตรีพระสหายร่วมชั้นเรียนที่โรงเรียน เซงฟังซิเวียคอนแวนเคยบันทึกนะครับไว้ใน หนังสือเขียนถึงสมเด็จโดยมีการเล่าถึง เหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นนะครับว่าซึ่ง เมื่อเกิดกบฏปวรเดชในปีพ.ศ. 2476 หม่อมเจ้าอัสรสมานได้ทรงอพยพครอบครัวรวม ทั้งหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ซึ่งอยู่ในวัย เยาวนะครับหนีภัยการเมืองรอนแรมไปกลาง ทะเลโดยเรือเดินสมุดที่ชื่อว่าเรือ พานุรังสีไปเผชิญความยากลำบากและโรคภัย ไข้เจ็บนานาประการณจังหวัดสงขลาแต่ด้วย ดวงชะตาอันจะต้องเป็นคู่พระบารมีหม่อม ราชวงศ์สิริกิติ์ผู้เป็นเด็กบอบบางรับ

ประทานน้อยแล้วก็นอนยากจึงแข็งแรงปราศจาก โรคภัยอันใดมากล้ำกายจนกระทั่งนะครับเหตุ การณ์สงบแล้วก็หม่อมเจ้าอัสรสมานทรงนำ ครอบครัวกลับพระนครได้โดยสวัสดิภาพครับพอ ถึงช่วงปลายปี 2477 นะครับพระบิดาก็คือ เอ่อหม่อมเจ้านักขัตรมงคลก็ได้ลาออกจาก ราชการที่ต่างประเทศแล้วเดินทางกลับมาที่ ประเทศไทยนะครับพร้อมกับสมาชิกครอบครัว ทั้งหมดพร้อมกับรับตัวท่านมาจากท่านย่านะ ครับหม่อมเจ้าศรสานกลับมาอยู่ด้วยกัน พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านริมแม่น้ำ เจ้าพระยาแถวปากคองผนุงกรุงเกษมนั่นเองนะ ครับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ใดวัยเยาวเริ่ม เข้าเรียนชั้นอนุบาลที่โรงเรียนราชินีใน

ปี 2479 นะครับต่อมาปี 2483 เกิดสงคราม มหายเชียบูรพาขึ้นที่จังหวัดพระนครเนี่ย ก็ถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักนะครับเลยทำ ให้การเดินทางไปเรียนเนี่ยไม่ปลอดภัยในปี 2483 นะครับพระองค์ท่านจึงย้ายไปเรียน ชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนเซนฟรัง ิซาเวียคอนแวนเพราะว่าอยู่ใกล้กับบ้านใน ระยะที่พอจะเดินไปโรงเรียนเองได้นะครับ โดยในช่วงที่เรียนที่เซ็นฟรังนี้พระองค์ ท่านก็มีความชื่นชอบในวิชาภาษาอังกฤษนะ ภาษาฝรั่งเศสและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนะครับ เปียโนที่ตอนนั้นท่านก็ไม่ได้เรียนเล่น แต่ว่ามีความตั้งใจเรียนที่จะไปเป็นนัก เปียโนผู้มีชื่อเสียงเลยทีเดียวด้วยความ

ที่ทรงชื่นชอบในดนดนตรีคลาสสิกนะครับจึง ทรงเลือกเรียนวิชาเปียโนเป็นวิชาพิเศษ อย่างจริงจังนั่นเองครับและแล้วจุด เปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตก็มาถึงนะครับ หลังจากสงครามสงบแล้วนายกรัฐมนตรีในสมัย นั้นคือนายควงอภัยวงศ์เนี่ยได้แต่งตั้ง ให้หม่อมเจ้านักขัตรมงคลนะครับไปเป็น อัครชทูตประจำประเทศอังกฤษรอบนี้หม่อม เจ้านักขัตรมงคลจึงได้พาครอบครัวทั้งหมด เนี่ยเดินทางไปด้วยในปี 2489 ซึ่งขณะนั้นนะครับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ก็เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 ของโรงเรียน เซนฟรานซิเวียคอนแวนพอดีแต่อยู่ที่อังกฤษ ได้ไม่นานนะครับในปี 2490 นะครับหม่อม

เจ้านักขัตรมงคลก็ต้องย้ายไปประจำที่ใหม่ ในตำแหน่งอัครราชทูตประจำประเทศฝรั่งเศส และเดนมาร์กก่อนที่จะกลับมาเป็นเอก อัครทูตนะครับประจำประเทศอังกฤษอีกครั้ง หนึ่งซึ่งในระหว่างนี้หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ก็ยังคงตั้งใจเรียนเปียโนกับครู พิเศษนะครับอย่างเข้มข้นเพื่อเตรียมสอบ เข้าวิทยาลัยการดนตรีที่กรุงปารีสนั่นเอง ครับและในช่วงเวลาที่ครอบครัวกิตยากรพัก อาศัยอยู่ที่กรุงปารีสประเทศฝรั่งเศสนี่ เองครับที่ทำให้พระองค์ท่านมีโอกาสได้ เอ่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลุลยเดชหรือในหลวงร. 9 ซึ่งในขณะ นั้นกำลังศึกษาอยู่ที่ประเทศ

สวิตเซอร์แลนด์นะครับท่านผู้หญิงบุตรสบา สธนพงษ์ซึ่งเป็นพระคณิษฐาหรือน้องสาวของ สมเด็จพระพันตรีได้เล่าถึงเหตุการณ์ใน ช่วงนั้นนะครับว่าช่วงที่ท่านพ่อเป็นทูต อยู่ที่ฝรั่งเศสนะครับครอบครัวเรามีโอกาส เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่ง ทรงโปรดที่จะขับรถจากโลซานมาที่ปารีสมี อยู่ครั้งหนึ่งครับพระเจ้าอยู่หัวทรงขับ รถแซมซัมาจากโลซานเพื่อมาทรงซ่อมรถท่าน พ่อก็พาพวกเรามารับเสด็จพระองค์ท่านที่ เมืองฟองตันโบซึ่งนี่เองเป็นจุดเริ่มต้น ความรักของทั้ง 2 พระองค์นะครับนอกจากนี้ ในหนังสือเป็นอยู่คือโดยคุณหญิงบุษยา ไกายกก็ได้มีการเขียนเหตุการณ์สำคัญใน

ช่วงที่ทั้ง 2 พระองค์พบกันเป็นครั้งแรก ด้วยนะครับว่าในปีพ.ศ. 2491 สมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเสด็จเยี่ยม ชมโรงงานต่อรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลนะครับไป รอรับเสด็จณเมืองฟองแตนโบชานกรุงปารีส บุตรีทั้งสองของท่านทูตก็ไปร่วมรับเสด็จ ด้วยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์กิตติยากรแต่ง ตัวเรียบร้อยอยู่ในสูตรสีเนื้อแต่ก็คงหาง เปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลังเฝ้ารับเสด็จ ด้วยนะครับทุกคนเนี่ยยืนรออยู่ใต้ร่มเงา ไม้อันร่มรื่นของป่าโปร่งบรรยากาศเนี่ย เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแต่ฝ่ายผู้รอรับ เสด็จก็ต้องแปลกใจเพราะว่าสมเด็จพระเจ้า

อยู่หัวซึ่งมีพระนิสัยตรงต่อเวลากลับ เสด็จผิดเวลาไปมากการรอคอยที่เนิ่นนาน ขึ้นทุกทีนะครับโดยเฉพาะหม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์ที่ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนจาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกลายเป็นมุ่ยในที่สุดเนี่ย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จมาถึงเหตุ เพราะรถยนต์ราชราชภานะเนี่ยเกิดเครื่อง เสียแล้วก็น้ำมันหมดนะครับต้องใช้เวลาแก้ ไขนานอยู่พอสมควรการพบกันครั้งแรกสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทอดพระเนตรใบหน้า หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ไม่ค่อยจะงามนัก เพราะทั้งหิวแล้วก็รอนานมิหนำซ้ำนะครับ ท่านราชเลขาขณะนั้นคือหลวงประเสริฐไมตรี ก็ได้เชิญแต่เฉพาะผู้ใหญ่ไปร่วมโต๊ะเสวย

เด็กๆเนี่ยก็ให้ไปรับประทานอาหารที่ ภัตคารจีนอีกแห่งหนึ่งซึ่งเรื่องนี้นะ ครับในเวลาต่อมาสมเด็จพระพันตรีทรงเล่า พระราชทานแก่ผู้สื่อข่าวด้วยว่าการพบกัน ครั้งนั้นเนี่ยเปรียบเสมือนเป็นเกลียดแรก พบมากกว่ารักแลกภที่หลายคนเข้าใจกันนั่น เองนะครับครอบครัวหม่อมเจ้านักขัตมงคลนะ ครับได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวอยู่บ่อยครั้งเนื่องจากมาทอดพระเนตรรถ ยนต์คันใหม่แทนคันเดิมที่ทรงใช้มานานจน คร่ำครานะครับแต่รถที่ทอดพระเนตรดูเหมือน จะไม่ค่อยถูกพระทัยจึงต้องเสด็จมาปารีส อยู่บ่อยครั้งจนทำให้เป็นที่คุ้นเคยต่อ เบื้องเรื่องพยุคลบาทนะครับโดยเฉพาะหม่อม

ราชวงศ์สิริกิติ์เป็นที่ต้องพระ ราชอัธยาศัยเนื่องด้วยมีนิสัยร่าเริงแต่ สุภาพอ่อนน้อมและบางครั้งก็ค่อนข้างขี้ อายซึ่งนี่คือบันทึกที่เล่าถึงเหตุการณ์ สำคัญช่วงนั้นไว้นะครับแต่แล้วครับก็เกิด เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในวันที่ 5 ตุลาคมปี 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชนะครับทรงประสบอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ที่เอ่อนอกเมืองโลซานจนจะต้อง ประทับรักษาพระองค์นะครับในโรงพยาบาลและ ในช่วงเวลานี้เองครับที่ในหลวงท่านทรงมี รับสั่งให้หม่อมหลวงบัวเนี่ยพาลูกสาวทั้ง 2 คนก็คือหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์และหม่อม ราชวงศ์บุษบามาเยี่ยมพระอาการที่โรง พยาบาลเป็นประจำจนกระทั่งพระอาการดีขึ้น

นะครับโดยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต่อมาภาย หลังก็ได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้น ไว้ในสารคดี Soul of Nation The Royal Family of Thailand นะครับที่ออกอากาศ ครั้งแรกทาง BBC ในปี 2523 นะครับว่าตอน ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลเนี่ยหลังประสบ อุบัติเหตุนะครับมีพระอาการหนักมากตำรวจ เนี่ยโทรศัพท์มากราบบังคมทูลสมเด็จพระ ราชนีพระองค์ท่านรีบเสด็จไปทันทีนะครับ แต่แทนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะ ทรงมีพระราชปฏิสันฐานกับพระองค์ท่านกลับ ทรงหยิบรูปของข้าพเจ้าก็คือหมายถึงสมเด็จ พระพันปีออกมาจากกระเป๋านะครับโดยที่ ข้าพเจ้าไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์

ทรงมีรูปของข้าพเจ้าอยู่ด้วยหลังจากที่ รักษาตัวที่โรงพยาบาลเสร็จสิ้นนะครับ สมเด็จพระศรีนครินทาบรมราชนีหรือสมเด็จ ญาตินะครับซึ่งทรงเห็นถึงความผูกพันที่ ชัดเจนนี้แล้วจึงได้รับสั่งขอให้หม่อม ราชวงศ์สิริกิติ์อยู่ศึกษาต่อที่เมือง โลซานจากนั้นอีกประมาณ 1 ปีต่อมานะครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลุยเดช ท่านก็ได้ทรงเชิญครอบครัวกิตติยากรนะครับ ทั้งหมดเนี่ยมาเฝ้าและในครั้งนี้เองครับ ที่สมเด็จย่าได้ทรงเป็นผู้ใหญ่รับสั่งขอ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์กับหม่อมเจ้านัก ขัตรมงคลอย่างเป็นทางการก่อนที่ทั้ง 2 พระองค์จะได้ทรงประกอบพิธีมั่นกันเป็นการ
ภายในนะครับในวันที่ 19 กรกฎาคมปี 2492 โดยแหวนเพชรที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้ มั่นในครั้งนั้นนะครับก็คือแหวนวงเดียว กับที่สมเด็จพระราชบิดาท่านเคยใช้มั่นกับ เอ่อทางฝั่งของสมเด็จพระราชมารดาของท่าน มาแล้วนั่นเองนะครับหลังจากมั่นกันแล้ว เนี่ยในหลวงก็ทรงโปรดให้หม่อมราชวงศ์ สิริกิติ์เรียนหนังสือต่อที่นั่นไปก่อนจน กระทั่งถึงกำหนดสำคัญที่ทั้ง 2 พระองค์ ต้องเสด็จกลับประเทศไทยพร้อมกันในเดือน มีนาคมปี 2493 นะครับเพื่อร่วมงานถวายพระ เพลิงพระบรมศพของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อ เสด็จกลับถึงประเทศไทยแล้วนะครับอีก 1 เดือนต่อมาในวันที่ 28 เมษายนพ.ศ. 2493
นะครับพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสก็ได้ถูก จัดขึ้นที่ณวังสปทุมโดยมีสมเด็จพระ ศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวสาอัยิกา เจ้าในฐานะสมเด็จย่าของในหลวงรัชกาลที่ 9 นะครับทรงเป็นประธานเ่อในพิธีพระราชทาน น้ำพระพุทธมนต์นะครับโดยในวันนั้นเองครับ ที่ทั้ง 2 พระองค์ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตาม กฎหมายและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรง สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิ ก่อนที่ในวันที่ 5 พฤษภาคมปีเดียวกันนะ ครับ 2493 ซึ่งเป็นวันพระราชพิธี บรมราชาภิเษก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับเฉลิมพระ บรมนามาภิไธย ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและในวัน
เดียวกันนั่นเองครับท่านก็ได้ทรงเฉลิม พระยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์เป็นสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีและนี่ก็ คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของคู่พระบารมี ที่ยาวนานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ครับนับ จากนั้นเป็นต้นมานะครับคนไทยก็ได้เห็นภาพ ที่คุ้นตาจนกลายเป็นประวัติศาสตร์นั่นคือ ภาพของในหลวงที่เสด็จไปทั่วทุกหนแห่งโดย มีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีเคียงข้าง พระองค์อยู่เสมอและความไว้วางใจที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านมีต่อสมเด็จพระราชินีใน ตอนนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้นะครับเมื่อ ช่วงเวลาที่ในหลวงท่านต้องทรงตัดสินใจออก ผนวดตามโบราณราชประเพณีในปี 249 99 นะ
ครับซึ่งบุคคลที่ท่านไว้วางใจให้ทำหน้า ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คอยทำ หน้าที่แทนพระมหากษัตริย์ทั้งหมดใน ระหว่างที่ทรงผนวดก็คือสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนั่นเองนะครับต่อมาภายหลัง จากที่ในหลวงทรงลาผนวดแล้วเพื่อเป็นการ เทิดพระเกียรติที่ทรงปฏิบัติพระ ราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่นะครับในฐานะผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ แบบนะครับพระองค์จึงได้ทรงสถาปนาพระ ราชอิสริยุทธสมเด็จพระนางเจ้าพระ บรมราชินีขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์พระบรมราชินีนาถอันมีความหมาย ว่าทรงเป็นที่พึ่งของประชาชนซึ่งนับเป็น
สมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ 2 ของ ไทยต่อจากสมเด็จพระศรีพัชรินทา บรมราชินีนาถซึ่งทรงปฏิบัติราชการแทนพระ องค์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระดำเนิน เยือนยุโรปนั่นเองครับครั้งหนึ่งสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถนะ ครับพระบรมราชชนีพันปีหลวงเคยมีพระ ราชดำรัสถึงการที่ประชาชนเรียกพระองค์นะ ครับว่าแม่ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรง เยี่ยมประชาชนในภูมิภาคต่างๆตั้งแต่ ทศวรรษแรกที่ยังทรงเป็นสมเด็จพระ บรมราชินีนะครับว่าเวลาไปไหนเนี่ยชาวเขา ก็เรียกแม่ชาวบ้านก็เรียกคุณแม่ตั้งแต่ อายุ 17-18 ชาวบ้านก็เรียกคุณแม่แล้วพระ องค์ยังบอกอีกว่าการเสด็จพระดำเนินไปทรง
เยี่ยมประชาชนนั้นเนี่ยให้ความรู้สึก เหมือนไปเยี่ยมเยี่ยมญาติพี่น้องที่อยู่ ห่างไกลเพราะประชาชนจะสนทนากับพระองค์ ด้วยภาษาสามัญแบบง่ายๆอย่างเป็นกันเองดัง พระราชดำรัสนะครับว่าการไปเยี่ยมราษฎรตาม ภาคต่างๆของเราเหมือนเราได้ไปเยี่ยมญาติ พี่น้องที่อยู่ห่างไกลราษฎรทุกคนพูดกับ เราได้ทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ไม่เก้อเขิน เรื่องการใช้ราชาศัพท์ไม่เคยคิดเป็นปัญหา เลยส่วนมากเขาเรียกพระเจ้าอยู่หัวและ ข้าพเจ้าว่าคุณพ่อคุณแม่หรือท่านพวกชาว เขาเผ่าต่างๆก็เรียกว่าพ่อแม่การไปเยี่ยม ราษฎรทุกครั้งทำให้เรามีความสุขและชุ่ม ชื่นในไมตรีจิตของประชาชนนอกจากนี้ยังมี
บันทึกที่เล่าถึงความรู้สึกของพระองค์ที่ เคยเล่าถึงความภูมิใจทรงได้รับเกียรติจาก ประชาชนที่เรียกพระองค์ว่าแม่ดังนี้นะ ครับข้าพเจ้าได้รับความเมตตาสนับสนุนจาก คนไทยทุกชั้นทุกวรรณะทุกการทำงานมาช้านาน เป็นพระราชินีตั้งแต่อายุ 17 จนอายุ 50 ไปที่ไหนแม้แต่ตอนอายุ 17-1 ไปที่ไหน ประชาชนก็ยังเรียกว่าคุณแม่แต่ทีแรกเราก็ ตกใจว่าเอ๊ะคนเรียกเราดูเขาแก่กว่าเรา ทำไมเขาเรียกเราว่าคุณแม่ทีหลังก็นึกได้ ว่าคำว่าแม่นี่เป็นคำศักดิ์สิทธิ์และสูง ส่งที่สุดการที่ใครเรียกคนหนึ่งว่าแม่ บุคคลที่ถูกเรียกจะต้องคิดและสำนึกใน เกียรติยศอันนี้และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
จนกระทั่งในแผ่นดินรัชกาลที่ 10 นะครับ พระเกียรติเกียรติยศในฐานะแม่ของแผ่นดิน ก็ได้รับการเทิดทูลสูงสุดในพระนามาภิไธย สุดท้ายของพระองค์นั่นคือสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระ บรมราชชนนีพันปีหลวงนั่นเองครับ
