กลับมาติดตามรับชมรับฟังร้อยเรื่องราว ครับในคลิปนี้นำเสนอเรื่องราวการฆาตกรรม พระนางเธอลักษมีลาวัลมเหสีรัชกาลที่ 6 ช็อกคนทั้งเมืองเรื่องนี้เกิดขึ้นในเช้า วันที่ 3 กันยายน 2504 เมื่อหนังสือพิมพ์ รายวันทุกฉบับต่างพาดหัวพร้อมเพรียงกันใน แนวเดียวกันว่าฆาตกรรมพระนางเทอลักษมี ลาวัลหมกพระศพเน่าในตำหนักลักษมีวิราช เหตุสยองขวัญเริ่มเปิดเผยขึ้นเมื่อบ่าย วันที่ 2 กันยายนโดยนายวิไลวุฒิรังสีอดีต คนขับรถของพระนางเธอลักษมีลาวัลพร้อมด้วย

นางสมรภรรยาจะมาเฝ้าพระพี่นางที่ตำหนัก ลักษมีวิราชสี่แยกพยาไยยืนกดกริ่งอยู่นาน ก็ไม่มีใครมาเปิดด้วยความสงสัยจึงไปทูลพล ตรีพระยาบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ ประพันธ์รองนายกรัฐมนตรีผู้เป็นพระเชษฐา ที่วังถนนสุขุมวิทเสด็จนายกรมจึงเสด็จมา ทันทีกับนายวิไลและนางสมรเมื่อกดกริ่งก็ ไม่มีใครเปิดจึงพังประตูเข้าไปเห็นประตู หน้าต่างทุกบานปิดไม่มีใครอยู่เลยจึงแยก ย้ายค้นหาสิสิ่งผิดปกติได้กลิ่นเหม็นโชย มาทางหลังพระตำหนักเมื่อตามกลิ่นไปก็พบ พระศพของพระนางขึ้นอืดอยู่ในซอกระหว่าง เรือนคนใช้กับโรงรถพระศพอยู่ในสภาพบรรทม หงายมีโลหิตเกรอะกรังพระพักร์ซบอยู่กับ

พื้นพระเศียรด้านหลังถูกทุบด้วยของไม่มี คมจนยุบพระปรางด้านซ้ายก็ถูกทุบจนกามหัก จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสนพญาไทยซึ่งอยู่ เยื้องพระตำหนักไปไม่ไกลนักพล.ตำรวจเอก ประเสริฐรุจิรวงรองอธิบดีกรมตำรวจพร้อม ด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และตำรวจจากสน พญาไทยเจ้าของท้องที่ได้รุดมาที่เกิดเหตุ พบชะแลง 1 เล่มตกอยู่บริเวณหน้าห้องครัว ใกล้กับที่พบพระศพไม่ห่างกันไปยังพบขวาน อีก 1 เล่มซึ่งทั้ง 2 สิ่งมีคราบโลหิตและ เส้นผมติดอยู่ภายในเรือนคนใช้มีมุ้งเล็กๆ กางและตลบชายขึ้นเมื่อคลี่ออกมาก็เห็น คราบเลือดติดอยู่ส่วนบนพระตำหนักซึ่งเป็น ตึก 2 ชั้นห้องบรถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย

ตู้กระจกถูกทุบแตกแต่มหาดเล็กและนางกำนัน ไม่มีใครอยู่เลยต่างหายหน้าไปหมดซึ่งตาม ปกติจะมีแม่ครัวเครื่องต้น 2 คนคนสวน 2 คนและคนขับรถอีก 2 คนพระตำหนักลักษมี วิราชในค่ำวันนั้นจึงคับคั่งไปด้วยนาย ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เจ้าหน้าที่กองวิทยาการ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นคดีเหี้ยมโหดที่กระทำต่อพระบรมว วงศานุวงศ์ชั้นสูงส่วนนักข่าวก็มาพร้อม หน้าทุกฉบับต่างแข่งขันที่จะขุดคุ้ยข่าว นี้ออกมาให้ลึกกว่าฉบับอื่นแต่ก็ไม่มีใคร ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตรั้วพระตำหนัก เพราะเจ้าหน้าที่ยังต้องป้องกันหลักฐาน ไว้ไม่ให้ถูกทำลายเฝ้าประตูอย่างเข้มงวด

ไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้าไปได้ราว 20:00 นมี รถเก๋งอเมริกันคันใหญ่แล่นมาจอดที่ประตู พระตำหนักคนขับลงมาเปิดประตูด้านหลังและ โค้งให้ชายในชุดสากลผ้าชักสกินสีขาวมัน ระยับที่ก้าวลงมาด้วยท่วงท่าสง่างามตำรวจ ที่เฝ้าประตูเห็นแค่มาดก็คิดว่าเป็นตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่หรือบุคคลสำคัญจึงเปิดประตู พระตำหนักให้เข้าไปแต่โดยดีชายในชุดสากล สีขาวเดินตรวจรอบพระตำหนักโดยเฉพาะบริเวณ ที่พบศพแต่พอก้าวเข้าไปในพระตำหนักก็ เผชิญหน้ากับพันตำรวจเอกมนชัยพันคงชื่น รองผู้บัญชาการนครบาลนายตำรวจใหญ่ถึงกับ ตะลึงและชี้มือ นี่คุณเข้ามาได้ยังไงนี่จากนั้นก็เรียก

ตำรวจให้คุมตัวชายในชุดชารสกินสีขาวไปส่ง ให้พ้นรั้วพระตำหนักเขาผู้วางมเท่หจน ตำรวจหลงเปิดประตูให้เข้าแต่โดยดีผู้นี้ ก็คือสุเทพเหมือนประสิทธิเวชหัวหน้าข่าว มือฉกาจแห่งหนังสือพิมพ์ Daily นิวสซึ่ง พยายามจะขุดคุ้ยข่าวใหญ่นี้ให้ได้ละเอียด ที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามคนที่ เกี่ยวข้องกับพระนางเธอลักษมีลาวัลนำมา สอบสวนเพื่อจะรู้วิถีชีวิตของแต่ละแต่ละ คนในพระตำหนักตลอดจนพระชนชีพประจำวันและ ใครบ้างที่แสดงอาการโกรธเมื่อถูกพระนาง กลิ้วรวมทั้งหายไปไหนกันหมดรายแรกคือนาย วิไลวุฒิรังสีผู้เปิดเผยเรื่องนี้ซึ่งให้ การว่าได้ลาออกจากหน้าที่คนขับรถของพระ

นางไปนานแล้วพร้อมกับนางสมรภรรยาผู้เป็น ต้นห้องโดยตนไปเป็นคนขับรถของบริษัทเชล แต่ก็ยังแวะเวียนมาเฝ้าเสมอโดยเฉพาะในวัน พระมักจะมารับพระนางไปฟังเทศน์ที่วัดบวร นิเวศประจำครั้งสุดท้ายมารับเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมและทราบว่ามีนายทวีกับภรรยา ซึ่งดูแลเรื่องความสะอาดแต่ไม่ค่อยเอาใส่ ใจงานจนถูกกลิวอยู่เสมอเพิ่งจะลาออกไปจาก นั้นก็มีนางสาวสุนีและเด็กชายสมใจน้องชาย เข้ามาทำงานแทนนางสาวสุนีอายุ 20 ปีและ น้องชายถูกตามตัวมาให้การว่าได้เข้ามา เป็นต้นห้องเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมโดยนาง สมรวุฒิรังสีเป็นผู้นำมาฝากได้เงินเดือน 200 บาทแต่ทำงานไม่ถูกพระทัยจึงลาออก

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมกลับไปอยู่บ้านที่ ช่องนนทีพร้อมระบุว่านายแสงกับนายวิรัตคน สวนอีก 2 คนยังคงอยู่ในวันที่ตนและน้องลา ออกไปจากการสอบสวนคนรอบด้านตำรวจให้ความ สนใจที่นายแสงและนายวิรัต 2 คนส่วนที่ยัง อยู่ในพระตำหนักเป็นรายสุดท้ายแต่ได้หาย ออกไปทั้ง 2 คนทราบว่านายแสงนั้นอยู่มา นานแล้วและเคยลาออกไปหลายครั้งแต่นาย วิรัตเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วันตำรวจทราบ อีกว่านายแสงมีเพื่อนสนิทเป็นพันโรงอยู่ ที่โรงเรียนการเรือนพระนครสวนสุนันทาจึง เชิญตัวมาสอบเมื่อ 16:00 นของวันที่ 2 นายเสงี่ยมอุ่นใจรับว่าเป็นเพื่อนสนิทของ นายแสงหอมจันทร์จริงส่วนนายวิรัตไม่รู้

จักในเย็นวันที่ 29 สิงหาคมอันเป็นวันที่ สันนิษฐานว่าเป็นวันสิ้นพระชนม์นายแสงมี ท่าทางตื่นเต้นได้ไปหาที่โรงเรียนการ เรือนขอยืมเงิน 100 บาทเมื่อได้แล้วก็รีบ ไปพร้อมให้ข้อมูลว่านายแสงเป็นคน อุบลราชธานีพล.ตำรวจเอกประเสริฐรู้เจีย รวงศ์จึงส่งพันตำรวจเอกวิเชียรแสงแก้วผู้ กำกับกองสืบสวนสอบสวนเหนือพร้อมด้วยพัน ตำรวจตรีองค์อาจผุดผาดรองผู้กำกับการ 2 กองปราบพราหมณ์นำรถวิทยุไปอุบลราชธานีใน คืนนั้นพระนางเธอลักษมีลาวัลเข้าพิธี อภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวในปีพุทธศักราช 2465 ขณะมีพระชนมายุ 23 พรรษาแต่ไม่อาจ

สนองพระเดชพระคุณในเรื่ององค์ราชทายาทที่ จะสืบทอดราชบัลลังก์ได้จึงแยกพระองค์ออก มาประทับตามลำพังเพื่อเปิดโอกาสให้ทรงมี มเหสีใหม่ที่สามารถให้รัชทายาทได้และเป็น ไปตามที่ทรงตั้งปณิธานจะมีมเหสีเพียงองค์ เดียวตามแบบตะวันตกเมื่อสิ้นรัชกาลที่ 6 พระนางเธอได้ย้ายออกจากวังปารุสกวันซึ่ง ได้รับพระราชทานให้เป็นที่ประทับมาดำรง พระชนชีพอย่างสามัญชนที่พระตำหนักซอยพระ นางถนนราชปารภและในระหว่างสงครามโลกได้ ทรงย้ายหลบภัยไปที่ประทับตำบลหลอแหลอำเภอ หนองจอกจนสิ้นสงครามจึงย้ายมาที่พระ ตำหนักซอยสวัสดีถนนสุขมวิทพระนางเธอ ลักษมีลาวัลทรงใช้ชีวิตอย่างสงบนิพนนิยาย

รวมทั้งแปลยายต่างประเทศลงในนิตยาสารต่าง ๆและพิมพ์ออกสู่ตลาดหลายเล่มกลายเป็นนัก ประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังนวนิยายที่ ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่ชีวิตน้เรือน ใจที่ไร้ค่ายั่วรักภัยรักของจันจลาเสื่อม เสียงสาปเป็นต้นในปี 2503 ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ปัจจุบันจะได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ต่างประเทศได้ทรงเป็นประธานแบ่งพระ ราชมรดกของของสมเด็จพระพันปีหลวงซึ่งตก ค้างมาแต่เดิมแก่เจ้านายบางพระองค์ซึ่ง พระนางเธอลักษมีลาวัลได้รับพระราชทานราว 5 ล้านบาทแต่ด้วยทรงระแวงว่าจะมีภัยจึง เสด็จไปประทับกับหม่อมเจ้าสุวิชากรวรวพระ

เชษฐาระยะหนึ่งก่อนจะย้ายมาสร้างพระ ตำหนักลักษมีวิราชพระนางทรงหวาดระแวงว่า จะมีคนทำร้ายจึงทรงพระปืนแสงเป็นประจำและ ได้ชื่อว่าทรงแม่นปืนทรงพรุงพระกหารเสวย เองเพราะกลัวถูกวางยพิตผู้ใกล้ชิดยอมรับ ว่าพระนางทรงมีอารมณ์หัวร้อนเป็นนิตมัก ไม่พอพระทัย่ารับใช้และทรงพิโรธเสมอข้า รับใช้จึงอยู่กันไม่นานในงานฉลองพระชน์ มายุครบ 5 รอบเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2503 ทรงระบายความรู้สึกเกี่ยวกับข้า ราชบริพารไว้ในหนังสือกวีนิพนธ์ที่ทรงแจก ในงานมีความตอนหนึ่งว่ารัศมีปางกาลีนี้ ร้ายนักถูกพวกยักษ์รุมฟัดประหัดประหารคม ขู่ขวัญทุกวันหมั่นรังควานเหมือนร้าวราน

รวมรวนกวนรังแกตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่ หรือเปล่าไม่มีบ่าวโจดจันฉันกลิ้วแหวขืน มีบ่าวเข้ามาพันตอแแยยั่วยุแหย่ยุ่งขโมย โอยรำคาญบ้างเข้ามาทำท่าเป็นบ้างั่งเรียก จะสั่งทำใดไม่ขอขานสั่งทำโง้นทำงี้เลี่ยง ลี้งานใช่ฉันพาลเป็นดั่งนี้ทุกปี้วันพอ ไล่ไปมาใหม่อยู่ไม่ช้าแรกทำท่าดีเด่นเป็น ขยันพอใช้เพลินไม่เกิน 15 วันคนขยันโกง ยับเห็นกับตาเบื่อเต็มทนเบื่อคนสุดทนสู้ เลยยอมอยู่ผู้เดียวเลิกเที่ยวหามีคนใช้ ปราสาทเสียเพลียอุราเรารู้ว่าข่มเหงเพลง ทารุณทั้งยังทรงพรรณนาเกี่ยวข้องกับพระ องค์เองไว้หลายบทเชเช่นฉันไม่บ้าแม้ใคร บ้ามาว่าฉันก็ผู้นั้นแหละบ้ามาว่าเขาเรา

ไม่บ้าแม้ใครบ้ามาว่าเรามันจะเข้าคนว่า เป็นบ้าเองอนาถหนอโลกนี้ชีวีมนุษย์ยามสาว สุดสูงเด่นเป็นดวงแขยามชราเอือมระอาคน รังแกช่างไม่แน่เหมือนหวังดังคาดเดาในยาม ศุกร์สนุกสนานนั่นแหละมี คนพวกผียังยอมตอมล้นหลามพออิ่มอ้วนล้วน หลีกปลีกตัวตามยิ่งในยามเยือกเย็นไม่เห็น คนจากการสำรวจทรัพย์สินขั้นแรกในวันที่พบ พระศพนั้นเข้าใจว่าพระนางเทอลักษมีลาวัล ทรงเครื่องเพชรพระราชทานเป็นมูลค่าไม่ต่ำ กว่า 5 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ครบใน เซฟที่คนร้ายเปิดไม่ได้ส่วนเครื่องราชย อิสริยาภรณ์เครื่องประดับเพชรที่ทรงจัด วางไว้ในตู้โชว์ห้องบรรทมได้ถูกทุบกระจก

กวาดไปเกลี้ยงรวมทั้งสร้อยสังวาลย์ เครื่องประดับประจำพระองค์พระแสงปืนพกที่ ไม่เคยห่างพระหัตถ์และเงินสดในกระเป๋าถือ นั้นก็หายไปด้วยจอมพลสดิตธนรัตนายก รัฐมนตรีและรักษาการอธิบดีกรมตำรวจผู้มี อาญาศิษย์มาตรา 17 แห่งรัฐธรรมนูญการปก ครองอยู่ในอำนาจสั่งประหารชีวิตคนได้ทัน ทีซึ่งเป็นคนที่เกรงกลัวกันในยุคนั้นได้ กำชับตำรวจให้ติดตามคนร้ายนี้มาให้ได้ เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจและโหดเหี้ยม ทั้งยังกระทำต่อพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปอุบลราชธานีในกลาง ดึกของวันที่ 2 กันยายนได้มุ่งหน้าไปที่ บ้านเดิมของนายแสงหอมจันทร์ตำบลนาวัง

อำเภออำนาจเจริญทราบว่าได้กลับมาบ้านแต่ ออกไปแล้วโดยบุกป่าไปทางมุกดาหารเพื่อจะ ข้ามโขงไปประเทศลาวจึงขอความร่วมมือผู้ ใหญ่บ้านออกติดตามไปทางเกวียน 15:30 นของวันที่ 4 กันยายนคณะติดตามไป ถึงบ้านด่านยาวห่างจากนิคมคำสร้อย 3 กมก็ พบนายแสงกับเมียหอบผ้าอยู่ในป่าเต็งรัง ห่างจากชายฝั่งโข้งตรงข้ามสวรรณเพลส หันมาเห็นตำรวจก็มือไม้อ่อนปล่อยมีดขอ ด้ามยาวที่ใช้บุกป่าลงกับพื้นยืนตัวสั่น ตำรวจค้นหอ้าก็พบว่ามีคราบเลือดติดอยู่ ที่กางเกงที่นุ่งก็ยังมีคราบเลือดติดอยู่ ก็เลยยอมรับสารภาพแต่โดยดีนายแสงเล่าว่า ราว 13:00 นของวันที่ 29 สิงหาคมพระนาง

เสด็จลงมาประทับที่สวนด้านหลังพระตำหนัก ทรงพวนดินปลูกต้นไม้เขาและนายวิรัตได้ เข้าไปรับใช้แต่ทรงกริ้วไม่ถูกพระทัยซึ่ง เขาไม่รู้สึกอะไรเพราะคุ้นเคยกับการถูก พระนางดุเป็นประจำจึงผลีกตัวไปที่เรือนคน ใช้สักครูู่้ได้ยินเหมือนของตกจากที่สูง หันมาเห็นนายวิรัตยืนจังก้าในมือถือชะแลง เหล็กพระนางล้มคว่ำพระพักตร์อยู่กับพื้น ดินพระเศียรด้านหลังมีพระโลหิตนองไม่ เคลื่อนไหวพระอริยาบถเขาจึงรีเข้าไปหวัง จะช่วยพระนางแต่พอผมวิ่งเข้าไปถึงไอ้ วิรัตก็หันมาประจันหน้าเอาปืนขู่จะยิง ทิ้งถ้าทำยุ่งและเล่าว่าวิรัตบังคับให้ ช่วยหามพระศพไปซุกไว้ที่ซอกเรือนคนใช้กับ

โรงรถโดยนายวิรัตจับพระศีเขาจับพระบาทและ ให้คอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามาจากนั้นวิรัตก็ ถือกุญแจขึ้นไปบนพระตำหนักสักครู่จึงลงมา มันยัดของเต็มกระเป๋ากางเกงทั้ง 2 ข้าง เลยผมขอแบ่งมันก็ไม่ยอมแถมจะเตะผมอีกแต่ เมื่อถูกนำตัวมาถึงสนพญาไทยพล.ตำรวจเอก ประเสริฐรู้เจียรวงศ์รองอตรสอบปากคำด้วย ตนเองนายแสงกลับเปลี่ยนเรื่องไปอีกอย่าง ว่าผมกับวิรัตร่วมกันวางแผนเรื่องนี้มา ก่อนที่พระนจะสิ้นแล้วและเล่าใหม่ว่าใน วันเกิดเหตุขณะพระนางกำลังจะปลูกมะละกอ โดยนายวิรัตเป็นคนขุดหลุมด้วยแชลงเขาใช้ ควานฤทธิ์กิ่งไม้อยู่ใกล้ๆแม้ขณะทรงสวน พระนางก็นำกระเป๋าหวายที่ใส่ปืนคอ

ออโตเมติก 6.35 มมติดพระองค์อยู่เสมอและ ในกระเป๋ายังมีกุญแจต่างๆและเงินสดด้วย แต่ขณะจะปลูกมะละกอนั้นพระนางได้วาง กระเป๋าข้างพระองค์พร้อมรับสั่งให้วิรัต ไปเอาต้นมะละกอต่อมาโดยไม่เงยพระพักร์พอ สิ้นกระแสรับสั่งวิรัตลุกขึ้นและถอยไป เบื้องพระปิสา 2 ก้าเงื้อมแชลงเหล็กฟาดไป ที่พระเศียรด้านหลังเต็มแรงพระนางล้มคว่ำ ลงวิรัตตีซ้ำอีก 2 ครั้งจนโลหิตนองพื้น เขาตกใจจึงใช้สันขวานตีที่พระเศียรอีก 1 ครั้งโดยนายวิรัตไม่ได้ขู่บังคับเลยแล้ว ช่วยกันหามพระศพไปซ่อนวิรัตรีบวิ่งไปหยิบ กระเป๋าเอาปืนและกุญแจพร้อมกับเงินใน กระเป๋าแล้ววิ่งขึ้นไปบนพระตำหนักเขาเลย

ปลดสร้อยสังวาลย์ที่พระสอใส่กระเป๋า กางเกงสักครู่วิรัตก็ตะโกนให้ขึ้นไปช่วย เพราะไขกุญแจไม่ออกเขาจึงคว้ามีดอีโต้ ขนาดใหญ่จากเรือนคนใช้วิ่งขึ้นไปเมื่อไข กุญแจตู้โชว์ในห้องบรรทมไม่ได้เขาจึงทุบ กระจกแต่พอหยิบของในตู้วิรัตก็บอกมึงอย่า มายุ่งมึงไม่รู้หรอกว่าของอะไรมีค่าหรือ ไม่มีค่ากูจัดการเองแล้วจะแบ่งให้วิรัต กวาดของนายตู้ใส่กระเป๋าจนเต็มกางเกงจน หมดทั้งยังได้เงินจากในกระเป๋าไปปึกใหญ่ จากนั้นพยายามจะงัดตู้เซฟแต่ก็ไม่สำเร็จ และเกิดเสียงดังวีรัสจึงบอกว่างัดไม่ออก ก็ไม่เอาแค่นี้ก็รวยแล้ววิรัตไปล้างตัว ที่เปื้อนเลือดแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไป

เรียกแท็กซี่โดยไม่มีจุดหมายวิรัตมีท่าที ดีใจมากควักเงินออกมาอวดคุยตลอดเวลาว่ากู เป็นเศรษฐีแล้วโวยมึงเห็นมยมึงจะกินอะไร บอกเขาจึงบอกว่ากูกินไม่ลงหรอกวิรัตก็บอก ว่ามึงไม่ต้องกลัวกูเคยวางเพลิงมาแล้ว ยิ่งกว่านี้ยังบ่ยั่นจนกระทั่งนั่ง แท็กซี่ตระเวนกรุงไปตามแหล่งจนจบ รายการเมื่อ 3:00 นมาส่งเขาที่โรงเรียน การเรือนก่อนลงรถแสงได้ถามว่าไหนเงินแบ่ง กูบ้างสิแต่วิรัตว่ามึงอย่าเพิ่งเอาพรุ่ง นี้เช้าเจอกันที่นี่ค่อยเอารุ่งเช้าขอออก มายืนคอยไว้รัจนเที่ยงก็ยังไม่มารู้ว่า ถูกหักหลังเสียแล้วจึงขอยืมเงินนาย เสงี่ยม 100 บาทและพาเมียที่ฝากไว้บ้าน
นายเสงี่ยมไปพักบ้านนายถนอมบุญทันที่ซอย สวนอ้อยสามเสนซึ่งเป็นญาติของนายเสงี่ยม ตำรวจถามถึงสร้อยสังวาลย์ที่ปลดออกจากพระ สอนายแสงว่ายนทิ้งไว้หลังบ้านนายถนอม เพราะเห็นว่าเป็นของไม่มีค่าตำรวจจึงให้ พาไปบ้านนายถนอมนางยุพินภรรยานายถนอมบอก ว่าสามีไม่อยู่ไปทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ บางซื่อที่นายแสงกับเมียมาพักก็เพราะเห็น ว่าเป็นเพื่อนนายเสงี่ยมตำรวจควานในน้ำ คลำหลังบ้านก็พบสังวาลย์ฝั่งเพชรอันเป็น สร้อยพระสอจมอยู่ในเลนส่วนในบ้านไม่พบ อะไรตำรวจตรวจสอบทะเบียนประวัติไม่พบนาย แสงหอมจันทร์เคยต้องคดีมาก่อนจึงมุ่งไป ที่นายวิรัตตัวการของคดีนี้ส่วนนางเลี่ยม
แสงจันทร์ภรรยาของนายแสงให้การว่าเดิม เป็นหมอลำนายแสงเป็นคนเป่าแคนเร่หากินไป ได้เสียกันที่ศรีสะเกษต่อมางานฝึดเคือง แสงจึงมาหางานที่กรุงเทพฯตัวเองกลับไปที่ อุบลนแสงมาทำงานกับพระนางและลากลับไปเกณฑ ทหารเมื่อไม่ได้เป็นทหารก็มารับเธอไปอยู่ กรุงเทพฯด้วยโดยฝากไว้ที่บ้านนายเสงี่ยม แสงกลับไปทำงานกับพระนางอีกส่วนนายวิรัต นั้นไม่เคยพบได้ยินแต่สามีเล่าให้ฟังว่า เป็นคนชำนาญกรุงเทพฯมากคิดว่าน่าจะหลบ อยู่ในกรุงเทพฯนี่เองแสงบอกรูปพันธ์ของ นายวิรัตว่ามีแผลเป็นที่น่าผ่าจากชายผมจน เกือบถึงคิ้วขวาผิวเนื้อดำแดงรอบคอเป็น เกลื่อนเห็นได้ชัดเจ้าหน้าที่จึงสเก็ตรูป
นวิรัจากคำบอกเล่าของแสงแจกจ่ายไปทั่ว ตำรวจสืบทราบว่าในวันเกิดเหตุวิรัตได้ไป ตัดผมที่ร้านสุรีสะพานขาวจึงไปสอบถามช่าง ได้ความว่าวีรัสให้เปลี่ยนทรงผมจากหวีเสย เป็นผมดัดลอนและยืนยันว่าแผลเป็นที่หน้า ผากเริ่มจากตีนผมเฉียงมาทางคิ้วขวาทั้ง ยังบอกว่าวิรัตคุยว่าจะไปบางแสนในที่สุด ตำรวจก็ประกาศจับนายวิรัตโดยระบุรูปภัณฑ์ ไว้้ว่านายเจริญหรือดำหรือสูญหรือวิรัต หรือณรงค์นามสกุลจันทพรหรือกาญจนพรมี ตำหนิผิวค่อนข้างดำหน้าเหลี่ยมผมดำหยักศก เล็กน้อยหวีแสกซ้ายศีรษะกลมหน้าผากกว้าง จมูกใหญ่และแฟบปากบางเล็กคอใหญ่ลูก กระเดือกแหลมโตคางกลางเป็นเหลี่ยมฟันขาว
เรียบหูแบนกลางมือใหญ่เสียงแตกห้ามี สำเนียงอีสานมีไฝที่แก้มซ้ายใต้คางรอยสัก ที่หน้าอกบริเวณ 2 แก้มและรอบคอมีรอย เกลื่อนเวลาเดินศีรษะส่ายไปมาพร้อมกันสูง ประมาณ 170 ซมไม่แน่ชัดว่าบริเวณหน้าจะมี รอยแผลเป็นหรือไม่หลังจากตำรวจเจ้าของคดี ประกาศรูปภัณฑ์ละเอียดตำรวจชลบุรีก็พบชาย มีลักษณะใกล้เคียงหลายคนแต่เมื่อนำมาสอบ แล้วต่างก็ไม่ใช่นายวิรัตจนเวลา 17:00 น เศษของวันที่ 11 กันยายนตำรวจประจันตคาม ปราจีนบุรีก็พบชายคนหนึ่งเดินทอดน่องอยู่ ในตลาดมีลักษณะใกล้เคียงกับที่ประกาศจึง ควบคุมตัวไว้ชายดังกล่าวอ้างว่าชื่อ สมพงษ์ชมดีไม่ใช่วิรัตตำรวจค้นพบเงินติด
ตัวแค่ 16 บาทจึงคุมตัวมาส่งสนพญาไทย เพื่อให้พยานชี้ตัวคนสำคัญที่ถูกนำมาชี้ ตัวเป็นรายแรกก็คือนายแสงผู้ร่วมก่อคดี โหดนั่นเองขณะนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ใน ลหุโทษพอรู้ว่าจับวิรัตได้ก็มีอาการคุ้ม คลั่งหนักขึ้นพยายามฆ่าตัวตายเจ้าหน้าที่ แย่งอาวุธมาได้ก็หาเชือกมารัดคอตัวเองอีก จึงต้องดูแลตลอดแต่พอมาเผชิญหน้ากับนาย สมพงษ์ที่กองกำกับการ 2 ชั้นบนของสน พญาไทยนายแสงก็ร้องว่าใช่แล้วนี่แหละนาย วิรัตจากนั้นก็รำพึงรพันถึงความหลังที่ เคยร่วมงานกันในพระตำหนักลักษมีวิราชด้วย กันมากินข้าวหม้อเดียวกันอาบน้ำใช้สบู่ ก้อนเดียวกันน่าจะยอมรับเสียทำเอานาย
สมพงษ์ยืนเซ่อบอกว่าเขาไม่เคยอยู่ กรุงเทพฯอยู่แต่บ้านสร้างแสงยังต่อว่าที่ กวาดเงินและสมบัติไปหมดไม่ยอมแบ่งทำให้ เขายืนคอยเก้อสมพงษ์ยืนฟังนายแสงพร่าม อย่างงงๆแล้วร้องอย่างหงุดหงิดว่ากูบ่ฮู้ จักมึงนายแสงก็ไม่ยอมจำนนบอกตำรวจให้เปิด ดูที่พุงนายสมพงษ์จะมีรอยสักอยู่ทางด้าน ซ้ายด้านขวาตำรวจบอกเลิกเสื้อเปิดดูก็ เห็นรอยสักตามที่นายแสงว่านายแสงยังรุก คาดต่อไปอีกว่าถอดกางเกงมันออกดูสิจะเห็น แผลเป็นที่โคนขาขวาตำรวจก็เข้าไปถอดตาม สั่งแล้วก็พบแผลเป็นตามที่นายแสงว่าทำเอา นายสมพงษ์น่าเผือดร้องลั่นว่ากูบ่ฮู้จัก มึงมึงใส่ความกูแสงยังรุกต่อไปอีกว่า
บุหรี่ที่มันสูบยี่ห้อรวงข้าวผมเคยขอมัน สูบค้นดูซิว่าใช่ไมเมื่อตำรวจล้วงเข้าไป ในกระเป๋ากางเกงนายสมพงษ์ก็เจอซองบุหรี่ รวงข้าวจริงๆทำเอานายสมพงษ์เดือดดานร้อง ลั่นว่ามึงใส่ความกูมึงใส่ความกูนายตำรวจ ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ดูการชี้ตัวในครั้งนี้ ต่างฟันธงกับนักข่าวเลยว่าใช่ 99% ส่วนคน ที่มุงดูกันแน่นสนพญาไทยต่างก็พนันกัน เป็นที่สนุกสนานว่าใช่หรือไม่ใช่จากนั้น คนที่เคยเห็นตัวนายวิรัตทำสวนอยู่ในพระ ตำหนักลักษมีวิราชต่างถูกนำมาชี้ตัวนาย สมพงษ์ซึ่งมีทั้งยืนยันว่าใช่และไม่ใช่ หรือไม่ค่อยแน่ใจแต่นางหมุนซึ่งเคยเป็น เมียนายวิรัตยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
ไม่ใช่ผัวเถอแน่ในที่สุดตำรวจก็ต้องสรุป ว่าไม่ใช่ทำเอานายตำรวจใหญ่ที่ฟันธงไปว่า 99% ต้องหลบฉากไปนักข่าวยังไม่หายสงสัย กับการชี้ตัวของนายแสงที่มองทะลุผุโล่งจน เห็นรอยสักและแผลเป็นที่ร่มผ้าจึงหาทาง สอบถามจากนายสมพงษ์ซึ่งแพะรายนี้ก็ฟันธง เลยว่าก็ตำรวจนสิบอกให้มันพูดปรักปรำผม เขาจับผมแก้ผ้าค้นตั้งแต่ประจันตคามแล้ว ก็คงบอกให้มันพูดไปตามนั้นส่วนนายแสง เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่องนี้ก็อ้อมแอ้ม ตอบได้เพียงว่าเอาใครมาให้ผมชี้ผมก็ชี้ ทั้งนั้นแหละถ้าจับนายวิรัตได้โทษผมจะได้ เบาลงผมกลัวถูกยิงเป้าตำรวจยังติดตามหาคน ที่รู้จักนายวิรัตมาให้ข้อมูลต่อไปมหา
บำรุงจันทรมาวัดม่วงแคเป็นอีกรายที่ตำรวจ ขอสอบปากคำเพราะทราบว่าวิรัตไปหาบ่อยๆมหา บำรุงว่าวิรัตแวะมาเสมอมานอนเล่นที่วัด บ้างมาเล่นหมากฮอตกับคนในวัดบ้างบางวัน ไม่มีเงินก็ขอเงินพระกลับเด็กวัดยืนยัน ว่าหลังเกิดเหตุก็มามหาบำรุงยังบอกอีก อย่าอย่างที่ตำรวจปิดเป็นความลับในตอน นั้นว่าวิรัตเคยบอกว่าอยากทำงานในไร่อ้อย อาจจะหนีไปทางชลบุรีหลังจากได้พบมหาบำรุง พล.ตำรวจเอกประเสริฐรุจิรวงศ์รองอตรได้ เรียกตำรวจที่ทำคดีนี้จนถึงต 4:00 จาก นั้นพันตำรวจโทวิเชียนแสงแก้วผู้กำกับสืบ สวนสอบสวนนครบานเหนือจึงคุมกำลังมุ่งหน้า ไปชลบุรีทันทีในวันที่ 15 กันยายนตำรวจ
โดยการนำของพันตำรวจโทวเชียนร่วมกับตำรวจ ชลบุรีได้เข้าล้อมหมู่บ้านในเขตบ้านบึง โดยมีนายฉลองงามสมผู้ใหญ่บ้านนำทางคนไร่ อ้อยไร่มันตั้งแต่ซากแง้วไปตลาดหัวกุญแจ ก็ไม่ได้วี่แววจนค่ำจึงออกหาข่าวรุ่งเช้า ตำรวจก็ปลอมตัวเป็นชาวไร่ในชุดดำเข้าไป โรงงานเพาะเชื้อน้ำตาลซุ่นยู่ฮวดหมู่ 4 ตำบลคลองกิ่งอำเภอบ้านบึงห่างจากตัวอำเภอ 20 กมจนเวลาเยงหยุดพักกลางวันกรรมกรตัด อ้อยกลับมากินข้าวที่โรงงานตำรวจได้สอด ส่ายหาคนที่มีลักษณะเหมือนนายวิรัตจนพบ กรรมกรคนหนึ่งอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำตาลมีเกลื่อนเต็มคอนอน หลับอยู่ด้านเหนือของโรงงานจึงสะกิดให้
ตื่นพันตำรวจโทวิเชียรเป็นผู้ถามว่าลื้อ ชื่อวิรัตหรือเรินใช่ไหชายผู้นั้นอ้ำอึ้ง อยู่พักก่อนจะตอบว่าใช่ครับพันตำรวจโท วิเชียรถามอีกว่าเรื่องนั้นลื้อรับมย ตำรวจต่างถอนหายใจโล่งออกไปตามกันเมื่อ ได้ยินเขาตอบชัดถ้อยชัดคำว่ารับครับผมฆ่า พระนางเองรื้อเอาของไปไว้ที่ไหนพันตำรวจ โทวิเชียรซักอีกวิรัตไม่ตอบลุกเดินขึ้นไป ที่กองชานอ้อยข้างโรงอบล้วงมือเข้าไปตรง มุมกองดึงหอผ้าเช็ดหน้าลายสีเขียวสลับขาว ส่งให้เป็นคำตอบเมื่อแก้ดูข้างในก็เห็น เป็นเครื่องอิสริยาภรณ์ทั้ง 5 ชิ้นของผม ที่ได้มาเท่านี้ครับวิรัตบอกเครื่องราช อิสริยาภรณ์ทั้ง 5 ประกอบด้วย 1 เครื่อง
ราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกฝั่งเพชร 2 เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปีฝั่งเพชร 3 เหรียญเงินสลักรูปเสือประดับอักษรวรร 4 เครื่องราชอิสริยาพรจตุพรช้างเผือกประดับ เพชรมีพระปรมาภิไทยย่อพปรและ 5 เครื่อง ราชอิสริยาพรมหาจักรีฝั่งเพชรวิรัตเป็น บุคคลหลายชื่อมีชื่อใหม่ในการทำงานครั้ง นี้อีกว่านพเขาเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 7 กันยายนได้ค่าแรงวันละ 8 บาทระหว่างทาง ถูกควบคุมตัวเข้ากรุงเทพฯวิรัตยอมรับว่า ผมเป็นคนฆ่าพระนางจริงแต่ไอ้แสงเป็นคนชวน วิรัตว่าใครๆก็หาว่าเขาน่าบากแต่ความจริง ไม่มีเลยทำให้เขาโล่งใจในวันที่ 3 กันยายนซึ่งหนังสือพิมพ์เสนอข่าวเขายังมา
ยืนดูอยู่หน้าพระตำหนักหนักด้วยเห็นตำรวจ คึกคักเขาก็ไม่สะทกสะท้านเพราะตอนนั้น ตำรวจรู้แต่ชื่อปลอมว่าวิรัตจนต่อมาชื่อ จริงว่าเจริญถูกเปิดจึงคิดหนีเมื่ออยู่ กรุงเทพฯไม่ได้เพราะไม่มีเงินจึงไปชลบุรี ได้ข่าวว่าแสงปรักปรำเขามากจึงแค้นอยาก กลับมามอบตัวเปิดเผยความจริงแต่เงินหมด ไม่มีค่ารถจึงไปหานายคำพันธ์พันย์คน ร้อยเอ็ดด้วยกันขอยืมเงิน 50 บาทแต่นาย คำพันไม่มีและกำลังป่วยจึงฝากเขาเข้าทำ งานโรงงานซุ่นยู่ฮวดว่า 7 วันจ่ายเงินที เขาจึงไปทำงานหาค่ารถวันนั้นครบ 7 วันพอ ดีตอนเช้าได้บอกหัวหน้างานไว้ล่วงหน้าว่า ขอลาออกช่วยคิดเงินให้ด้วยก็พอดีตำรวจมา
จับวิรัตถูกนำตัวมาให้คนรู้จักและพระ ประยูรญาติชี้ตัวแต่วิรัตบอกว่าไม่ต้อง ชี้หรอกครับผมวิรัตแน่และผมก็รับสารภาพไป หมดแล้วซึ่งทุกคนก็รับว่าใช่เขาแน่วิรัต ให้การเปิดเผยหมดทุกอย่างว่าชื่อจริงของ เขาคือเจริญกาญจนพรอยู่บ้านหนองบัวใหญ่ ตำบลพนมไพรอำเภอพนมไพรจังหวัดร้อยเอ็ดใน วันที่แรกที่นายทวีคนเคยทำงานที่พระ ตำหนักนัดให้ไปสมัครงานนั้นเขาไปตามนัด แต่ฝนตกพอดีหาพระตำหนักไม่พบจะถามใครก็มี แต่คนวิ่งหนีหลบฝนจึงกลับวันรุ่งขึ้นวัน ที่ 24 กันยายนจึงไปอีกอ้างว่านัดไว้ เมื่อวานพระหนางก็รับเข้ามาทำงานในอัตรา เงินเดือน 150 บาทพอ 16 นวันนั้นนายแสงก็
มากดกริ่งพระนางรับสั่งว่าแสงเคยทำงานที่ พระตำหนักมาก่อนแต่ให้ออกไปตอนนี้ไม่มี งานจึงเซมาอีกซึ่งพระระนางก็รับไว้มอบ หน้าที่ให้กวาดสวนตัดหญ้ารดน้ำต้นไม้เช่น เดียวกับเขาจึงได้พบนายแสงครั้งแรกในวัน นั้นส่วนสุนีเป็นคนทำความสะอาดภายในพระ ตำหนักและหุงข้าวสมใจเป็นคนจ่ายกับข้าวใน วันเกิดเหตุคือวันที่ 29 สิงหาคมสุนีกับ สมใจได้ลาออกไปแล้วจึงเหลือแต่แสงกับเขา แสงซึ่งเคยทำงานกับพระนางมาก่อนบอกว่าพระ นางมีเงินและทรัพย์สมบัติมากในวันที่ 28 สิงหาคมเวลาราว 12:00 นขณะที่วิรัตกำลัง กวาดเรือนคนใช้แสงเข้ามาชวนว่าถ้ามึงฆ่า ให้ตายมึงจะได้สมบัติมึงเอามยเขาก็ตอบ
เพียงว่าเออในวันที่ 29 สิงหาคตอนเช้าขณะ ที่วิรัตเข็นรถตัดหญ้าญี่ปุ่นอยู่แสงเข้า มาบอกว่าวันนี้ลงมือนะปลอดคนแล้วพระนางจะ ปรุงอาหารกูจะไปรับใช้อยู่หน้าประตูมึงไป ตัดหญ้าแปลงหน้าพระตำหนักจะได้มองเห็นกัน พ่อกูพยักหน้ามึงก็จัดการเลยเออวิรัตน์ ตอบราว 13 นพระนางลงมาจากพระตำหนักทรง ปรุงพระกหารด้วยพระองค์เองแซงเข้าไปรับ ใช้หน้าประตูด้านหลังวิรัตผละจากเครื่อง ตัดหญ้าไปหยิบแชลงที่บนโต๊ะหน้าเรือนคน ใช้มานั่งยองๆพวนดินที่แปลงปลูกบัวบกมอง เห็นแสงถนัดแต่พระนางกลับขึ้นพระตำหนัก ก่อนแสงจึงผละมาที่วิรัตบอกว่าคนข้างนอก ผ่านไปมาเยอะแล้วพระนางระวังตัวด้วยต้อง
รอให้เหมาะกว่านี้ 13 นเศษพระนางลงมาจาก พระตำหนักอีกมีพระประสงค์จะมาปลูกมะละกอ ในที่ว่างหลังสวนพระนางวางกระเป๋าหวายที่ ใส่เงินสดและพระแสงปืนไว้ข้างพระกายทรง ชี้ให้แสงขุดหลุมแล้วเสด็จมาประทับดูต้น เฟิร์นในกระถางข้างๆวิรัถือชะแลงพรวนดิน แกเป็นพวกหรือเปล่ารับสั่งถามเปล่าครับ วิรัตตอบพวกหรือเปล่าเปล่าครับวีระตอบ แล้วก็เหลือไปเห็นแสงหยิบควานที่ใช้ตัด กิ่งไม้มากระชับมือดีแล้วมันมาอยู่ในวัง ทำไมคนโกหกไม่ชอบทรงบ่นอีก 2-3 คำแล้วจึง ย้ายมาประทับยองๆข้างพระแสงหันหลังให้ วิรัตแสงสบตาวิรัตแล้วดีดนิ้วเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นเองวิรัตก็คว้าชะแลงลุกขึ้นยืน
จังก้าด้านพระปฤษฎางเงื้อชะแลงแล้วฟาดลง มาเฉียงๆมีเสียงดังโพละเข้าใจว่าถูกพระ เศียรวิรัตบรรยายเขาหวดซ้ำไปอีก 2 ทีพระ นางฟุบพระพักตรลงบนบุ้งกี๋ที่วางอยู่ตรง หน้าแสงตรงเข้ามาเงื้อสันขวานสับลงที่พระ สออีก 3 ครั้งแล้วทั้งคู่ก็ยืนหอบด้วย ความตื่นเต้นวิรัตได้สติวิ่งเข้าไปในพระ ตำหนักจัดการปิดหน้าต่างชั้นล่างห้องรับ แขกโดยเกรงว่าคนข้างนอกจะมองเข้ามาเห็น แล้วรีบกลับมาที่พระศพช่วยแสงพลิกหงายและ หามไปไว้ที่ซอกข้างเรือนคนใช้กับโรงรถโดย แสงจับพระเศียรวิรัตจับพระบาทมาครึ่งทาง ก็ถึงพื้นซีเมนตวิรัตทิ้งศพให้แสงลากไปคน เดียวเขาวิ่งไปใส่กลอนประตูรั้วพระตำหนัก
ทั้งสองปราชญ์เข้าไปในพระตำหนักวิรัตไม่ ลืมที่จะหยิบกระเป๋าหวานที่ส่งทิ้งไว้ใน สวนหยิบเงินสดและพระแสงปืนแล้วจึงโยน กระเป๋่าทิ้งเอากุญแจไขประตูตู้ไม้ในห้อง บรรทมแต่ไขไม่ออกไม่ได้เฉลียวใจว่าตู้ไซ บอดข้างพระแท่นบรรทมทรงซ่อนตู้เซฟไว้จึง ไม่ได้ใช้กุญแจเปิดหันมาช่วยกันทุบกระจก ที่ตั้งโชว์เครื่องราชอิสริยาภรณ์แสงหยิบ ไปได้ 3 ชิ้นวิรัตคว้ามาได้ 5 ชิ้นเมื่อ เห็นว่าไม่มีอะไรจึงลงจากพระตำหนักเก็บ ข้าวของส่วนตัวเียมหนีกระจกตู้โชว์บาดมือ เลือดไหลจึงไปเช็ดไว้ที่มุ้งแล้วตลบขึ้น ไว้วิรัตบอกมึงออกไปก่อนเดี๋ยวกูจะเอา กุญแจไปใส่ประตูหน้าไว้ใครมาหาจะได้เข้า
ใจว่าพระนางไม่อยู่เขาจะได้ไม่กดกลิ่งและ ไม่กล้าเข้ามาจากนั้นทั้งสองก็ออกมาเรียก 3 ล้อเครื่องทีแรกบอกให้ไปโรงแรมหลาน หลวงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจให้ไปโรงแรมรอง เมืองแต่ห้องเต็มก็เลยบอกให้ไปโรงแรมเมง แซข้างโรงหนังกรุงเสมเข้าพักที่ห้องหมาย เลข 6 เมื่อเวลา 15:00 นวิรัตลงทะเบียน ว่านายดำศรีชัยบ้านอยู่ อุบลราชธานีทั้งสองเอาทรัพย์ที่ได้ออกมา วางกองบนที่นอนโดยแบ่งออกเป็น 2 กองกอง หนึ่งมีเงิน 100 บาทส่วนอีกกองหนึ่งมี เงิน 30 บาทพร้อมกับปืนหลังจากจ่ายค่าโรง แรมไปแล้ว 20 บาทวิรัตจะเอากองเงิน 100 บาทแต่แสงไม่ให้เลยต้องเอาเงิน 30 บาทกับ
ปืนพกจากนั้นก็ออกจากโรงแรมในเวลา 18:00 นเศษแสงเรียกแท็กซี่ไปหาเมียที่โรงเรียน การเรือนวิรัตขออาศัยมาลงที่สะพานขาวแยก กันที่หน้ากลมประชาสงเคราะห์โดยวิรัตเป็น ผู้กล่าวลาเพื่อนที่เพิ่งร่วมก่อคดีโหด สยองขวัญแต่เพียงว่าลาก่อนหิวข้าวจังเลย จากนั้นก็ตรงไปที่ร้านแซ่บอีหลีแล้วเข้า ไปรับเมียที่โรงงานแก้วใกล้ๆกันกลับไป บ้านที่ตรอกข้างทางรถไฟใกล้วัดพระยาัง ซึ่งเป็นห้องเช่าราคาเดือนละ 80 บาทรุ่ง ขึ้นจึงมาที่ร้านตัดผมสุรีข้างกรมประชา สงเคราะห์ที่เคยไปเล่นหมากฮอสเป็นประจำ และขายปืนให้แก่นายพวงนินงามช่างตัดผมไป ในราคา 300 บาทเจ้าหน้าที่ได้พาวิรัตไปทำ
แผนประกอบคำรับสารภาพถึง 8 แห่งทั่ว กรุงเทพฯจึงเกิดกลหลไปทั่วเพราะเกิดขบวน ติดตามดูและบางแห่งก็เกิดเป็นเรื่องฮาใน เรื่องพระแสงปืนประจำพระองค์ซึ่งนายวิรัต นำไปขายให้ช่างตัดผมในราคา 300 บาทเจ้า หน้าที่ได้นำนายวิรัตไปทำทำแผนที่ร้าน สุนีสะพานขาวนายพวงนินงามคนรับซื้อให้การ ว่าได้ขายต่อให้นายชิ้นสว่างอารมณ์อยู่ ประตูน้ำไปแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ตามไปพบ นายชิ้นก็บอกว่าขายต่อให้นายหมัดหรือ ณรงค์ปลื้มสุขที่คลอง 13 ธัญญบุรี ปทุมธานีไปอีกจึงตามไปธัญญบุรียึดของกลาง กลับคืนมาได้ส่วนนักซื้อขายทั้ง 3 รายนี้ ต่างก็ได้รับข้อหารับซื้อของโจรไปถ้วน
หน้าขบวนทำแผนประกอบคำรับสารภาพได้นำ วิรัตไปที่ห้องหมายเลข 6 โรงแรมเมงแซแต่ ไปแบบจู่โจมโดยไม่ได้บอกให้รู้ล่วงหน้าพอ ไปถึงก็เคาะประตูหมายเลข 6 ซึ่งมีคนพัก อยู่มีเสียงคนอึกอักอยู่ข้างในแต่ไม่ยอม เปิดประตูตำรวจก็เคาะชนประตูพังจึงมีผู้ หญิงนุ่งกระโจมโผล่ออกมาพอเห็นเป็นตำรวจ กลุ่มใหญ่ก็ยิ้มแหย่บอกว่าหนูเปล่าค่ะ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเปล่าอะไรจากนั้นก็มีผู้ ชายนุ่งเพียงกางเกงในกระมิดกระเมี้ยนออก มาแล้วหลบไปทางหลังโรงแรมในวันที่ 19 ตุลาคมเจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องราด อิสริยาภรณ์ 8 ชิ้นที่เป็นของกลางไปให้ กองประกาสิตสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ
มหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตีราคา ปรากฏว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 3 ชิ้นที่ แสงนำไปเตียราคาได้ 45,000 บาทส่วนอีก 5 ชิ้นที่วิรัตนำไปเตียราคาได้ 2320 บาทใน วันที่ 12 ตุลาคมตำรวจได้นำตัว 2 ผู้ต้อง หาไปฝฝากขังกับศาลทหารต่ออีก 12 วันแล้ว ส่งตัวเข้าลหุโทษไปจากนั้นข่าวฆาตกรรมพระ นางเธอลักษมีลาวันซึ่งพาดหัวหนังสือพิมพ์ รายวันติดต่อมาตลอดตั้งแต่วันที่ 3 กันยายนก็ขาดหายไปตั้งแต่วันนั้นฆาตกร ทั้งสองก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตชด ใช้กรรมที่ทำไว้ข่าวนี้นับเป็นเรื่องสยอง ขวัญที่สุดในยุคนั้นที่ฆาตกรโหดเหี้ยม กระทำต่อสตรีผู้สูงอายุผู้เคยดำรงพระ
อิสริยยศสูงสุดและเคยเป็นสุดที่รักของ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 และนี่คือเรื่องราว ทั้งหมดที่นำมาฝากกันในคลิปนี้ครับขอ ขอบคุณทุกการติดตามรับชมรับฟังหากมีข้อ ผิดพลาดประการใดต้องกราบขออภัยไว้ณที่นี้ ด้วยก่อนจากกันในคลิปนี้อย่าลืมกดไลคกด แชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับพวกเราทีมงาน ร้อยเรื่องราวด้วยนะครับแล้วพบกันใหม่ใน คลิปหน้าสวัสดีครับ
